ย่ำทรายในสายหมอกชมดอกไม้ในทัสมาเนีย
“เอื้อยนาง”
6. หมอฟัน(ของ)ม้า
St.. Helens.
ใยเข็มที่รัก
ในช่วงชีวิตที่ผ่านมาของเจ้าต้องเคยผ่านประสบการณ์เรื่องปวดฟัน มีปัญหาเกี่ยวกับฟันมาบ้างหรอกจริงไหมใยเข็ม ข้อยว่าคงทุกคนนั้นแหละเนาะ ไม่ว่าเด็ก(ที่มีฟันแล้ว)หรือผู้ใหญ่เฒ่าชะแรแก่ชรา (ที่ฟันยังไม่ร่วงไปหมด) ต้องมีสักเวลาสองเวลาเป็นอย่างน้อย ที่ได้ลิ้มรสชาติของการปวดฟันมาแล้วในชีวิต ตั้งแต่ปวดนิดหน่อย เหมือนถูกสะกิด ไปจนปวดมากชนิดต้องกุมข้างแก้มไว้แล้วครางอูยๆ … บางทีถึงขนาดกินไม่ได้นอนไม่หลับต้องไปให้หมอฟันช่วยอุด ช่วยเลาะออกหรือเปลี่ยนใหม่ก็ต้องมีบ้างเป็นธรรมดา
แต่ที่ไม่ธรรมดาสำหรับข้อยในบ้านนี้ก็คือ ม้าจ๊ะ… ม้าปวดฟัน จนต้องตามหมอฟัน(ของ)ม้า หรือหมอผู้ซึ่งทำฟันให้ม้ามารักษาม้าผู้ซึ่งปวดฟัน(เจ้างงกับคำพูดของข้อยไหม… ไม่ว่ากันนะ ข้อยเองผู้ซึ่งเขียนก็ยัง งงๆ เลย)
อย่างที่เคยบอกนั้นแหละว่าข้างๆ บ้านพักของข้อยในเมืองเซนต์เฮเลนส์นี้ เป็นสถานที่สำหรับฝึกม้า หรือที่ข้อยเรียกเองให้เป็นสำนวนไทยว่า “โรงเรียนม้า “ นั้นแหละ(มีโรงเรียนหมาด้วยนะ อย่าเอะอะไป วันหลังจะพาแอบไปดูเขาพาหมาไปเข้าโรงเรียนกัน)ม้าที่นำมาฝึกก็คือม้ามาเข้าโรงเรียนนั่นแหละ
โรงเรียนแห่งนี้มีสภาพคล้ายโรงเรียนบ้านหนองหมาหว้อในอิสานบ้านเราสมัยก่อนโน้น ที่มีครูใหญ่ ครูน้อยและภารโรงเป็นคนคนเดียวกันน่ะ ส่วนนักเรียนนั้นเป็นม้าหนุ่มสาววัยคะนองจากที่ต่างๆหมุนเวียนเปลี่ยนมาเล่าเรียน(ไม่เขียน ไม่อ่าน)วิชาฟังอย่างเดียว แล้วทำตามคำสั่งและสายบังเหียน
วันแรกๆที่มาถึงโรงเรียนม้าเหล่านี้จะไม่ฟังความหรอก.ต้องใจเย็นฝึกมันทีละก้าวให้รู้จักคุ้นเคยกับคำสั่ง เพื่อให้รู้จักเดินหน้า ถอยหลัง หยุด วิ่ง ซ้าย ขวา จบหลักสูตรแล้วมันจึงจะเป็นม้าที่เชื่องให้คนขี่ไปไหนๆได้สบายๆเคสหนึ่งๆใช้เวลาประมาณ 6-8 สัปดาห์ หรืออาจมากว่านั้นสำหรับม้าที่ดื้อมากๆ
ม้าในโรงเรียนช่วงนี้มีเจ้าไชนี่ตัวสีขาวและบราวนี่สีน้ำตาล ทั้งสองเป็นม้าสาวแข็งแรงปราดเปรียวและซุกซน ธรรมดาม้าของชาวบ้านที่เจ้าของเลี้ยงไว้แก้เหงาแค่ตัวสองตัวนั้น จะเชื่องและฝึกง่ายกว่าม้าจากฟาร์มใหญ่ๆ ที่เพาะเลี้ยงม้าโดยเฉพาะ ซึ่งมีม้าเป็นร้อยๆ ตัว โอกาสจะใกล้ชิดสนิทสนมคุ้นเคยกับเจ้าของย่อมมีน้อย เมื่อมาโรงเรียนก็เหมือนจับเด็กจากดงบังอี่มาขัดสีฉวีวรรณนั้นแหละ
ไชนี่กับบราวนี่จึงเป็นปัญหามากในช่วงแรกๆที่มาถึง โดยเฉพาะบราวนี่นั้น คุณเธอกระโดดโหยงเหยงและร้องยี้ๆอยู่ได้แทบตลอดเวลา กว่าจะใส่บังเหียนและเอาอานขึ้นบนหลังเธอได้แต่ละทีทำเอาคุณครู(พ่อใหญ่เจฟ)หัวหมุน กว่าเธอจะคุ้นและยอมให้เข้าใกล้ก็ใช้เวลาอยู่หลายวันยิ่งการจะให้เธอทำตามคำสั่ง Wuft !! (หยุด).... Get up!!(เดิน) Back!!(ถอยหลัง) ได้นั้นยิ่งยากเป็นหลายเท่า ไชนี่ยังเป็นเด็กดีกว่า เรียนแค่ 2-3 สัปดาห์ เธอก็สำเร็จชั้นประถมศึกษา เป็นม้าดี ใครๆก็ขี่เธอได้ไม่มีปัญหา(แม้แต่ข้อยยังขี่ได้เลย) ส่วนบราวน์นี่ยังคงกระโดดโหยงเหยงตามอำเภอใจและมีเพียงครูใหญ่เท่านั้นที่พูดกันได้ ส่วนคนอื่นๆแค่ยื่นขนมปังให้ซึ่งม้าทั้งหลายชอบ เธอยังทำเมินไม่ยินดียินร้ายแถมทำเป็นคล้ายๆไม่อยากเคี้ยว ไม่อยากกลืน เป็นอาการผิดปกติที่ครูใหญ่สังเกตเห็นเป็นคนแรก
ในที่สุดก็จึงได้รู้ว่าบราวนี่มีปัญหาเรื่องฟัน นั้นแหละนะใยเข็ม หมอฟันจึงได้ถูกส่งตัวมาในวันนี้ไงละ
หมอฟันหนุ่มนี้ชื่อ เลน ดิกซั่น (Len Dixon) เคยเป็นพยาบาลดูแลคนป่วยในโรงพยาบาลมาก่อน แต่ตอนหลังชอบดูแลสัตว์มากกว่า จึงหันเหมาเป็นหมอฟันของม้าในปัจจุบัน เธอเคยทำงานในดิสนี่แลนด์หลายแห่ง ทั้งอเมริกา ญี่ปุ่น และสิงคโปร์ ไม่เคยมาเมืองไทย แต่กลับชอบอาหารและผลไม้ไทยมาก(ว่างั้น)
การรักษาฟันม้าและอาการอื่นๆของสัตว์เป็นงานอิสระของดิ๊กซั่น ท่องไปเรื่อยๆ ทั่วรัฐตามสายและเสียงที่เรียกทางโทรศัพท์ในบูธท้ายรถคู่ชีพนั้นอัดแน่นไปด้วยเครื่องไม้เครื่องมือและหยูกยา และหลายอย่างล้นออกมาเต็มอยู่ในเบาะหลังอีกด้วย บ่อยครั้งที่ต้องเดินทางรอนแรมไปหลายร้อยกิโลเมตร ต้องนอนค้างตามโรงแรมหรือบ้านพักที่เจ้าของสัตว์จัดหาให้
อย่างครั้งนี้ออกจากบ้านที่อยู่เหนือสุดของรัฐทัสมาเนีย เดินทางไปรักษาฟันม้าในฟาร์มที่เมืองลันเชสตัน แล้วลงใต้สู่เมืองโฮบาร์ตแวะไปหลายฟาร์มตามใบสั่ง อ้อมสู่ตะวันออกเลาะเลียบสู่เซนต์เฮเลนส์เป็นระยะทางเกือบพันกิโลเมตรและใช้เวลากว่าสัปดาห์จึงมาถึง
และเพื่อให้คุ้มกับการเดินทางไกล ไม่ต้องเทียวมาเทียวไปมาบ่อย ๆ ต้องจัดการนัดแนะทางโทรศัพท์กับเจ้าของม้าหลายๆเจ้าก่อน ทุกจุดที่แวะพักจึงมีบริการแห่งละหลายๆตัว เมื่อคืนเขามาพักกับสมาชิกสโมสรโรตารี่ เช้านี้คนพลัดถิ่นผู้อยากรู้ทุกอย่างก็เลยมีโอกาสตามไปด้วย
จุดแรกในเช้านี้ อยู่ห่างจากเซนต์เฮเลนส์ไปทางทิศเหนือตามถนนทัสมาเนียไฮเวย์ ผ่านภูเขาและเม้าท์วิลเลี่ยมพาร์คเป็นระยะทางประมาณ
รถเลี้ยวขวาเข้าประตูหน้าบ้านหลังแรก เจ้าของม้าเป็นสาวสวยยืนเคียงม้าตัวอ้วนพีสีน้ำตาลทองคอยอยู่แล้วในมือมีเชือกม้าพร้อมจะยื่นให้ทันทีที่คุณหมอมาถึง ซึ่งคุณหมอเองพอทักทายทำความคุ้นเคยกับม้า(เขาใช้คำว่า คัมปานีนะใยเข็ม) แล้วก็จัดแจงแปลงกายตัวเองใส่ถุงมือ หมวก ผ้ากันเปื้อน ขนเครื่องไม้เครื่องมือออกมาจากรถกุกกัก ฉีดยาชาเข้าที่ใต้ผิวหนังของม้าสาวก่อนใช้กระบอกฉีดน้ำเข้าไปล้างปากให้เธอ
เสียงดังฉาดๆ.... สะอาดดีแล้วจึงล้วงเข้าไปสำรวจตรวจหาฟันเก ฟันชำรุด ก่อนจะทำการขุดรากถอนโคนด้วยคีมอันโต ซึ่งเป็นขบวนการที่ยุ่งยากไม่น้อย เลือดไหลย้อยออกจากปากของม้า ขณะฟันของเธอถูกถอนออกมา 2 ซี่ แล้วเจ้าของก็จ่ายเงิน 80 ดอลล่าร์ (ประมาณ 2000 บาท)คณะของเราก็ได้เวลาเซย์กูดบายไปจุดอื่นต่อไป
ดูเหมือนว่าดวงของข้อยช่วงนี้มันจะขึ้นๆลงๆ สูงๆ ต่ำๆ อยู่เรื่อยๆ นะใย
เข็ม เพราะจุดที่สองนี่ต้องปีนภูเขาที่มองเห็นอยู่ลิบๆ(ที่จริงรถพาไต่ไป) เป็นบ้านของคุณจีลที่มีชื่อเสียงเรื่องจัดสวนได้สวยงามมาก ในช่วงฤดูใบไม้ผลิของทุกปี เธอจะเปิดสวนให้คนได้เข้าชม ปีที่แล้วข้อยเองก็ได้มีโอกาสมาชมด้วย ช่วงนั้นดอกไม้หลากสีของเธอบานสะพรั่งตั้งแต่ประตูหน้าบ้านและลุกล้ำเข้าไปในข้างในบ้านห้องนอน ห้องนั่งเล่น จนถึงห้องน้ำเลยเชียว แต่มาตอนนี้ต้นไม้หลายชนิดกำลังพักและ
เตรียมจะผลิบานอีกครั้งในเร็วๆนี้ กระนั้นก็ยังมีหลายชนิดที่บานไสวสดชื่นท้าทายความหนาวเย็น รู้ไหมใยเข็มลูกมะนาวที่ห้อยย้อยเหลืองอร่ามอยู่ในสวนไม้ผลของเธอนั้นลูกเท่าส้มโอผลย่อมๆเชียว เห็นแล้วอยากเอาส้มโอบ้านเรามาลองปลูกดูจัง.... (แต่ยากที่จะผ่านด่านตรวจเข้ามาได้ ขนาดเอามะขามหวานมาด้วยถุงเดียว ยังถูกเจ้าหมานักดมกลิ่นที่สนามบินซิดนีย์ลิบเอาไปให้เจ้าของมันเลย ทำเอาหน้าแตก)
การจัดสวนของที่นี่จะแบ่งเป็นชั้นๆ รอบๆบ้านคือสวนไม้ดอกสวยงาม ถัดออกไปคือไม้ผล ใกล้ชายป่าเป็นสวนนกมีนกมากมายหลายชนิดตั้งแต่นกใหญ่ๆอย่างนกอีมูไปจนถึงนกเล็กๆหลากสีสันอย่างนกหงส์หยก ส่วนด้านที่อยู่คล้อยลงไปทางแม่น้ำเธอจัดไว้เป็นส่วนของสัตว์ประเภทเลี้ยงไว้ขายหรือเป็นอาหาร มีตั้งแต่ ไก่ เป็ด ห่าน ไปจนถึง กวาง แกะ
ม้าของคุณจีลมี 3 ตัว ล้วนพ่วงพีองอาจและมีอาการต้องตรวจฟันทั้งหมดในวันนี้ จัดเตรียมรอคอยอยู่ในคอกใกล้บ้านแล้วอย่างเรียบร้อย แต่เจ้าของคือคุณจีลนั้นวันนี้ไม่อยู่บ้าน นัยว่าไปอังกฤษกับสามี แต่ข้อยโชคดีรู้ไหมใยเข็ม เพราะญาติของเธอที่มาเฝ้าบ้านให้นั้นพอรู้ว่าข้อยเป็นคนไทยเขาก็ทักออกมาว่า “สวัสดีครับ” ทันที ข้อยเลยมีโอกาสได้เจรจาภาษาไทย เรื่องเมืองไทยที่เปรี้ยวปากมานาน.....นั้นแหละถือว่าโชคดีล่ะ
คุณคนนี้เป็นชายอายุคงจะกว่า 60 ปีแล้วมั่ง แกบอกว่าเคยเป็นทหารไปรบที่เวียดนามและมาอยู่เมืองไทยแถวอุบลราชธานีนานเกือบ 30 ปีแล้วติดใจเมืองไทยมาก หากมีโอกาสก็จะต้องกลับไปอีกเสมอ ครั้งสุดท้ายได้เดินทางท่องอีสานเมื่อ 8 ปีที่แล้ว แกรู้จักอุบล ฯ อำนาจฯ มุกดาหาร เป็นอย่างดีทีเดียว แถมข้ามฝั่งไปลาวที่สุวรรณเขตเป็นว่าเล่น ข้อยเลยมีเพื่อนคุยไม่ได้ดูเขาทำฟันมาหรอกในจุดนี้ คุยพลางเดินดูสวน ดูสัตว์ จนทั่วแล้ว หมอฟันก็ทำฟันให้ม้าเสร็จทั้งสามตัว ดื่มน้ำชากินขนมกันแล้วจึงบ่ายหน้ากลับทางเดิม เพื่อไปสู่จุดที่ 3 ต่อไป
จุดที่ 3 เป็นฟาร์มโคนม มีโรงรีดนมเป็นของตนเองด้วย เจ้านี้มีม้าไว้ขี่เล่น 2 ตัวแม่ลูก ตัวลูกนั้นยังเป็นเด็กหญิงอยู่ ยังไม่ใส่รองเท้าด้วยซ้ำ... เจ้าต้องเข้าใจนะใยเข็มม้าที่พร้อมจะวิ่งไปบนถนนหรือที่ใด ๆ นั้น เขาจะทำการใส่รองเท้าให้มันก่อน
แต่ปรากฏว่าม้าสองตัวแม่ลูกไม่ได้ถูกถอนฟันเพราะไม่มีปัญหาอะไร ดิกซั่นได้แต่แปรงฟันล้างปากและฉีดวัคซีนให้เท่านั้น เราก็พากันวกกลับเซนต์เฮเลนส์ไปที่บ้านของสาวใหญ่ลูกสองชื่อ เดบี้ ไวท์ เธอมีลูกสาวกำลังน่ารักสองคน ดังนั้นจึงมีม้าพันธุ์ตัวเล็กที่เหมาะสำหรับเด็กๆขี่ไว้ด้วยสองตัว เจ้าดูในรูปนะใยเข็ม มองเผินๆมันเหมือนหมีมากกว่าละข้อยว่า แต่มันเชื่องมาก เด็กๆชอบมัน
สุดท้ายกว่าจะได้กลับมาทำให้บราวนี่ ก็บ่ายคล้อยเหนื่อยอ่อนทั้งคุณหมอและผู้สังเกตการณ์ ครั้นกลับมาถึงบ้านนึกว่าบราวนี่จะเป็นตัวสุดท้ายแต่ไม่หรอก ยังมีเจ้าอื่นๆพาม้ามายืนชะแง้คอยอยู่เป็นแถว แต่บราวนี่ก็เป็นตัวเดียวที่โดนถอนฟันมากกว่าเพื่อน ทั้งซี่เล็กซี่ใหญ่ ทำเอาเลือดไหลย้อยเต็มปากน่าสงสาร และเธอก็เศร้ามากหายพยศไปเป็นกองเลยแหละ
เกือบค่ำดิ๊กชั่นจึงโบกมือกลับบ้านที่ Devonport ซึ่งเป็นเมืองท่าสำคัญทางเหนือของทัสมาเนีย เป็นท่าเรือขนส่งสินค้า และเรือเฟอร์รี่สำหรับโดยสารข้ามช่องแคบ
รักเจ้าหลาย
“เอื้อยนาง”