วรรณกรรมเยาวชน กิ่งคำปายกับยายทวด
โดยเอื้อยนาง
ตอน ๑๐. ปัญหาของมามิริ
พระอาทิตย์ส่องแสงจ้า ทะลุผ่านแมกไม้ลงมาเป็นลำยาว กระทบหยาดน้ำค้าง
ที่ติดเกาะบนยอดไม้ใบหญ้า สะท้อนแสงพริบพราวราวกับเกร็ดมณี แข่งกับดอกไม้หลากสีที่บานไสว กลิ่นไอธรรมชาติ ไพรพงดงเถื่อนอวลตลบ
นกหลายชนิดที่หากินตามพื้น เห็นคนเดินมาใกล้ มันก็วิ่งแกมกระโดดพลางร้องกุ๊ก ๆ สัตว์ป่าหน้าตาแปลก ๆ กระโดดแผล็วผ่านหน้า แล้ววิ่งไต่ขึ้นไปหลบบนต้นไม้
เสียงนกเขาขันจุ๊กกรู... ๆ...ดังลงมาจากป่าสูงบนภูเขา
กิ่งคำปายเดินตามหลังขบวน พลางชมนกชมไม้ พลางชิมผลบลูเบอร์รี่ป่า และเรดเบอร์รี่ที่แม่เฒ่านำเสนอมากมายจนอิ่มแปล้ เครือเถาของมันมีหนามแหลม ๆ มากมาย แต่กิ่งคำปายหลานยายสร้อยสายคำก็เคยเก็บกินผลเล็บเหยี่ยวในสวนหลังบ้านมาแล้ว ลำต้นของมันก็มีหนามแหลมพอ ๆ กัน มือเล็ก ๆ จึงหยิบเก็บผลไม้นั้นโดยไม่ถูกหนามทิ่มตำ ยังมีมดตัวใหญ่ท้องกลมเป่งพองด้วยน้ำหวาน ที่แม่เฒ่าเรียกว่ามดน้ำผึ้ง
นั่นอีก ที่เธอบรรจุลง ในกระเพาะอย่างหน้าตาเฉย และเอร็ดอร่อยยิ่ง ก็ไข่มดแดงเป็นอาหารชั้นหนึ่งที่หากินยากราคาแพงขึ้นทุกวันในอีสานบ้านเกิดนี่นา ในขณะเจ้าหนุ่มผิวขาว ตาดำ หน้าแขก โรบินสัน กลับทำท่าแหยง ๆ ในตอนแรกแต่ครั้นตัดใจได้ทดลองทำอย่างบ้าง โดยเด็ดหัวออกทิ้ง แล้วจึงเอาตัวเข้าปาก ขบก้นมันแตกเสียงดังเปาะ เขาก็ร้องขออีกตัว และอีกตัว ทำเอากิ่งคำปาย และแม่เฒ่าหัวเราะประสานเสียง
เป็นเสียงหัวเราะของคนต่างวัย ต่างวัฒนธรรม ต่างถิ่น ต่างดินแดน แต่ต่างก็มีเลือดสีเดียวกัน
กั๊ก...ๆ...ๆ...
มีเสียงประหลาดดังคล้ายปีศาจหัวเราะ ดังลงมาจากต้นไม้สูง กิ่งคำปายกระโดดไปคว้าเอาตัวเจ้าวอมแบตขึ้นมาอุ้มแนบอกโดยสัญชาตญาณ พลางเรียกขานให้จิงโจ้แม่ลูกอ่อนมาอยู่ใกล้ๆ ไม่ให้เดินเฉไฉออกไปไกลแถว
“เสียงนกคุกคะเบอร่า”
แม่เฒ่าเจ้าของถิ่นบอก
“ใช่คุณกลัวแม้กระทั่งเสียงนก”
คราวนี้โรบินสันได้ทีหัวเราะขบขันอาการตื่นเต้นของเด็กสาวบ้าง
แต่กิ่งคำปายมือหนึ่งยังอุ้มวอมแบตขนนิ่มไว้กับอกแนบแน่น อีกมือคอยกอดคอยาวๆ นางจิงโจ้เหมือนจะให้แน่ใจว่ามันยังอยู่ใกล้ตัวตลอดเวลา จนชายหนุ่มเริ่มสังเกตอย่างสงสัยในอาการ และความสัมพันธ์ ห่วงหา ที่เธอมีต่อสัตว์ป่าหน้าขนแบบสนิทชิดเชื้ออย่างนั้น แต่เขาก็ยังเป็นกังวลกับการคิดหาหนทางกลับออกไปมากกว่าจึงผ่านความสงสัยนั้นไป
ความจริงครอบครัวฝ่ายแม่ของโรบินสัน บราวน์ มีพื้นเพในประเทศออสเตรเลีย แม่ของเขาก็เกิดที่นี่ใช้ชีวิตในวัยเด็กที่นี่ จนเติบโตเป็นสาวและแต่งงานกับพ่อของเขาซึ่งเป็นชาวอังกฤษ แม่จึงได้ย้ายไปอยู่ที่นั่นและโรบินสันก็เกิดที่นั่น แต่เขาก็คุ้นเคยกับประเทศนี้ดี ในช่วงวันหยุดหรือเทศกาลคริสต์มาสเขามักใช้เวลาท่องเที่ยวอยู่กับยาย และครอบครัวฝ่ายแม่ในออสเตรเลียมากกว่า
แต่ในป่าใหญ่ท่ามกลางขุนเขาแห่งนี้เขาไม่รู้เลยว่ามันตั้งอยู่ส่วนใดของประเทศอันกว้างใหญ่ไพศาลครอบคลุมเนื้อที่ทั้งทวีปแห่งนี้
“บ้านคุณมีนกส่งเสียงเหมือนปีศาจหัวเราะอย่างนี้ด้วยเหรอ”
เด็กสาวชาวไทยผู้พลัดถิ่นชวนเขานั่งพัก เอนหลังพิงโคนต้นไม้ปล่อยสัตว์ออกจากอ้อมแขนแล้วชวนคุยขณะแม่เฒ่านาไบยังเดินด้อม ๆ มอง ๆ อยู่ตามแมกไม้
“เปล่าหรอก นกชนิดนี้เป็นนกพื้นถิ่นนี้ แต่แม้ว่าผมจะมีบ้านอยู่ลอนดอน ผมก็มักมาที่ออสเตรเลียปีละหลาย ๆ ครั้ง เพราะยายและครอบครัวของแม่ผมอยู่ที่นี่ ก็เลยพอรู้จักคุ้นเคยอยู่บ้าง ชาวอังกฤษในยุคแรกๆ ที่มาบุกเบิกก็เคยตื่นกลัวมันมาแล้วเหมือนกันรู้ไหม”
เด็กสาวรับฟังแล้วเงียบอย่างครุ่นคิด
เงียบกันไปทั้งสองฝ่าย ได้ยินแต่เสียงนก และกากู่ร้องมาจากป่าลึก ๆ
“ฉันก็อยู่กับยายมาแต่เล็ก ๆ เหมือนกัน ฉันรักยายมาก และตอนนี้ฉันยังมียาย...ทวด ที่...”
วอมแบตที่คลานอยู่ข้าง ๆ กระโดดขึ้นมาบนตัก ขัดจังหวะ เด็กสาวจึงชะงักคำพูด แต่โรบินสันกลับรำลึกถึงยายของเขาเช่นกัน
“ยายของผมตอนนี้ยังอยู่ในซิดนีย์” เสียงเขาอ่อนโยนขึ้นเมื่อเอ่ยถึงยาย “ อายุแปดสิบกว่าแล้ว ยังแข็งแรง อยู่คนเดียวได้ และช่วยตัวเองได้”
“คุณคงรักยายมาก”
“ใช่ นอกจากยายจะชอบเล่าเรื่องเก่า ๆ แล้ว ยายยังเขียนหนังสือที่รวบรวมจากความทรงจำ และการบอกเล่า การบันทึกความจำจากบรรพบุรุษของท่านในตระกูลขึ้นเล่มหนึ่งด้วย ท่านเหล่านั้นเคยเล่าถึงประสบการณ์อันยากลำบากสมัยบุกเบิกในดินแดนอาณานิคมแห่งนี้ บรรพบุรุษฝ่ายพ่อของยายเป็นเด็กหนุ่มชาวไอริสที่ทำผิดฐานขโมยของในร้านค้า เพราะความอดยากช่วงสงครามยืดเยื้อในสมัยนั้น เลยถูกจับเป็นนักโทษ และถูกส่งลงเรือมาทำงานหนักในการก่อตั้งอาณานิคมที่พอร์ท แจ๊คสัน ซิดนีย์ และย้ายไปหลายแห่ง ทำงานขณะมีสายโซ่ล่ามขาไว้ ในที่สุดเมื่อถูกส่งไปสร้างโรงโม่ที่บรีสเบน ท่านกับเพื่อนก็พากันหลบหนี รอนแรมเลาะเลียบแม่น้ำบรีสเบนอันคดเคี้ยวเข้าในป่า
และได้พบคนพื้นเมืองที่ใจดี จึงได้หลบซ่อนใช้ชีวิตอยู่กับพวกเขา จนได้แต่งงานกับเด็กสาวชาวเผ่า และช่วยกันบุกเบิกถากถางฟันฝ่าอุปสรรคสร้างครอบครัวสร้างฐานะ มีลูกมีหลานสืบทอดต่อมามากมาย จนถึงรุ่นผมดังกล่าว”
“ท่านเป็นนักโทษหรือ” กิ่งคำปายพึมพำ
“ใช่เป็นนักโทษที่มีฝีมือทางด้านออกแบบก่อสร้าง และครั้นหลบหนีไปมีครอบครัวท่านก็กลายเป็นนักบุกเบิกที่มีความมานะอดทนเป็นเลิศด้วย อาคารยุคอาณานิคมหลายแห่งที่ท่านมีส่วนร่วมก่อสร้าง ก่อนหลบหนี ยังอยู่เป็นมรดกของชาติตกทอดมาถึงปัจจุบัน ผมกับยายเคยไปเที่ยวดูหลายแห่ง เพื่อเก็บภาพถ่ายมาประกอบหนังสือของยาย ยายอยากเขียนถึงพ่อของท่านผู้เป็นนักโทษ และแม่ผู้เป็นชาวอบอริจินที่เติบโตมาจากวัฒนธรรมที่แตกต่างสุดกู่ แต่กลับอยู่ด้วยกันได้ด้วยความรัก ความเสียสละและความเข้าใจกัน ครองชีวิตร่วมกันได้ เออ...มีภาพบางภาพบางภาพผมยังมีติดในกระเป๋ามาด้วยนะ ป่านนี้มันคงจะป่นปี้ไปกับเครื่องบินแล้วกระมัง”
เขาถอนหายใจเมื่อพูดถึงเครื่องบิน แล้วเลยเงียบไป กิ่งคำปายพลอยเงียบไปด้วย และดูเหมือนทุกสิ่งรอบตัวนิ่งไม่ไหมติง ราวกับโลกหยุดหายใจ
........................
สายมากแล้ว แม่เฒ่านาไบยังเดินนำหน้าพาสองหนุ่มสาวชาวต่างถิ่นต่างดินแดนเดินทะลุออกมาสู่ชายป่าที่กิ่งคำปายจำได้ว่ายายทวดพาผ่านมาแล้วเมื่อตอนค่อนรุ่ง
ถึงกลุ่มต้นกัมแดง(ยูคาลิปตัสชนิดหนึ่ง)ที่ออกดอกสีแดงสะพรั่งเต็มต้น แม่เฒ่าทำสัญญาณให้ทุกคนเงียบเสียง และนั่งลงใต้ต้นไม้
ที่ตรงนี้คือเนินสูงชายภูเขา ต่ำลงไปเป็นที่ราบริมบึง ทุ่งหญ้าสีเขียวกว้างใหญ่ปู
เป็นพรมจากชายป่าจรดผืนน้ำที่สะท้อนแสงวิบวับอยู่ไกลสุดสายตา ดอกหญ้าสีทองเอนพลิ้วปลิวไล่เป็นลอนลูกคลื่นยามลมพัดพา
“อูว...สวยจังเลย”
กิ่งคำปายวางเจ้าวอมแบตน้อยลงพื้นให้ยืนอยู่กับจิงโจ้โมบาย ใช้มือป้องปากแล้วกู่ร้องเสียงดัง จึงถูกแม่เฒ่าเจ้าของร่างเปลือยเปล่ากระโดดเข้าหา ฉุดให้นั่งลงหลบใต้พุ่มไม้ พลางจุปากอย่าได้เอ็ดตะโรไปเดี๋ยวใครได้ยิน
“ดูโน่นซี”
มืออันเหี่ยวย่นของแม่เฒ่าชี้ไปที่ลานโล่งใต้ต้นไม้ต้นหนึ่งกลางทุ่งหญ้า
มีร่างสีดำของชายสามคนกำลังก้ม ๆ เงย ๆ ด้อม ๆ มอง ๆ เข้าไปในพงหญ้าใกล้ต้นไม้ ทั้งหมดอยู่ในชุดเครื่องแต่งกายที่แทบเปลือยโป้ เพราะสองคนมีเพียงหนังสัตว์ขนปุย ๆ สีเทาสะพายแล่งจากไหล่ข้างหนึ่งลงมาถึงเอว มองเห็นสะโพกวับ ๆ แวม ๆ ผมสีดำเกล้ามวยยกไว้กลางศีรษะประดับด้วยขนนก
ชายอีกคนที่ตัวเล็กกว่าเพื่อนนั้นปล่อยตัวล่อนจ้อน ผมยาวแค่คอ เปียเป็นลอนเล็ก ๆ เต็มศีรษะ ไหวพะเยิบเหมือนปีกนกยามเจ้าตัวเคลื่อนไหว
ในมือของทุกคนมีแหลนยาว ซึ่งเป็นอาวุธที่ทำด้วยไม้ท่อนยาวปลายแหลมถือไว้ในท่าเตรียมพร้อมจะใช้จู่โจมสัตว์อะไรสักอย่างที่กำลังหลบซ่อนในป่าหญ้า พวกเขาใช้ขาเตะ ปัดป่ายไปตามพงหญ้า พลางทำเสียงชู้ว....ๆ .....
“นั่นตัมบู หลานข้า เขากำลังจะช่วยกันล่าอีมู”
แม่เฒ่านี้มือไปที่คนกลุ่มนั้นแล้วบอกด้วยน้ำเสียงแสดงความตื่นเต้น
นกอีมูตัวใหญ่ตัวหนึ่งวิ่งโหย่ง ๆ หลบหายเข้าไปในพงหญ้า ชายทั้งสามช่วยกันดักหน้าดักหลัง ไล่มันออกมาสู่ลานโล่งใต้ต้นไม้ ใครบางคนพยายามพุ่งแหลนเข้าใส่ แต่มันก็วิ่งไวหลบไปได้ทุกที ใครบางคนต้องวิ่งไปดักหน้าต้อนมันออกมาใหม่เหมือนเล่นซ่อนหา
ไม่นานใครคนหนึ่งที่ตัวเล็กกว่าเพื่อนคงคิดแผนการได้ เขาวางแหลนในมือลง หันไปหักกิ่งไม้ใบไม้จากที่ใกล้ ๆ มามัดรอบหัว เอว ปลายแขน และข้อเท้าของตัวเองอย่างขมีขมัน จนมองดูคล้ายเจ้าอีมูตัวใหญ่ เขาเดินก้มตัวโก้งโค้งทำท่าทาง เหมือนนกอีมู กระโดดไปรอบ ๆ โคนต้นไม้
เมื่ออีมูเจ้านกยักษ์ถูกต้อนออกมาอีกครั้งเขาก็ทำเสียงหลอกล้อยั่วยวนให้มันโมโห และวิ่งไล่ตีเขาไปรอบต้นไม้
แล้วอีมูก็หลงกล เมื่อมัวแต่โมโหไล่ตีคนในคราบนก มันจึงถูกคนสองคนที่ดักรออยู่พุ่งตัวจู่โจมจับอีมูขี้โมโหได้อย่างง่ายได้
“น่าสนุกจังเลย ว๊าว......”
จิงโจ้โมบายที่เก็บปากเก็บคำอยู่นานอดเปล่งเสียงร้องออกมาไม่ได้ โชคดีที่ทั้งโรบินสัน และเฒ่านาไบใจจดใจจ่ออยู่กับเกมใต้ต้นไม้จึงไม่มีใครสนใจ และอาจคิดว่าเป็นเสียงของกิ่งคำปาย
“นั่นเป็นเกมที่ตัมบูชอบมาก”
แม่เฒ่านาไบเสียงเครือ มองตามร่างชายทั้งสามช่วยกันหามร่างนกยักษ์ตัวนั้นจากไปทางชายป่าอีกด้านหนึ่ง
“คนไหนคือตัมบู”
หนุ่มโรบินสันถาม เขาจำชื่อนี้ได้ตั้งแต่หญิงสาวชาวไพรนามว่า มามิริเอ่ยถึงเมื่อคราเอาน้ำผึ้งกับคบไฟมาให้แม่เฒ่าแล้ว
“คนตัวเล็กกว่าเพื่อนนั่นแหละ เขากำลังจะโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว ปีนี้เขาจะได้ท่องไปทั่วแดนศักดิ์สิทธิ์ของมาเคอจูลากับท่านผู้อาวุโส เพื่อเรียนรู้ความลับมากมายของเผ่าเราเป็นเวลาอย่างน้อยหนึ่งปี กลับมาอีกที่เขาจะได้ทำพิธีรับเข้าสู่การเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว เขาหวังว่าจะสามารถฆ่าตัววอลล่าบีตัวเขื่อง ๆ ได้สักตัวหนึ่งแล้วถลกหนังมันมาห่มบ้าง แล้วเขาจะได้ชื่อว่าเป็นสมาชิกโดยสมบูรณ์ของชาวเผ่าและอาจมีพ่อของผู้หญิงสักคนยอมยกลูกสาวให้แต่งงานกับเขา...…”
แม่เฒ่าพูดไปเรื่อย ๆ แต่ชายหนุ่มผู้พลัดถิ่นเพียงมองตามหลังกลุ่มนักล่าอีมูอยู่เงียบ ๆ เขาไม่เห็นความแตกต่างของชายทั้งสามคนนักนอกจากเครื่องแต่งกาย และทรงผมเพราะอยู่ไกลเกินไป
ขณะนี้ใจของโรบินสัน เพียงต้องการมองหาใครสักคนที่พอจะให้คำแนะนำได้บ้างว่า ที่แห่งนี้คือที่ใดกันแน่ จะหาทางออกไปพบปะผู้คน และกลับบ้านเมืองได้อย่างไรเท่านั้น แต่ครั้นพิจารณาผู้คนและสิ่งรอบกายแล้วเขาได้แต่หันมามองกิ่งคำปายยักไหล่อย่างสิ้นหวัง
มีเสียงลมพัดมาอื้ออึง ฟ้าที่โปร่งใสอยู่เมื่อครู่พลันมืดหม่นลงคล้ายฝนจะตก แม่เฒ่านาไบลุกขึ้นอย่างว่องไว แต่ยังช้ากว่าทวดคำปลิวในร่างวอมแบต ที่กระโจนแผล็วไปสู่เส้นทางเล็ก ๆ ซอกซอนวกวนเข้าในพงหญ้า จิงโจ้โมบายเรียกลูกน้อยที่ออกไปเดินซุกซนเข้ากระเป๋าโดยด่วน
เพื่อนในร่างสัตว์ของกิ่งคำปายใช้ขาหน้าสั้น ๆ ทำหน้าที่คล้ายดังมือมนุษย์ยื่นมาผลักเด็กสาวให้ตามติดไปทันที แล้วตัวเองก็กระโดดฮอบ ๆ ตามหลังยายทวดไป
“อย่าไป ไม่ใช่ทางนั้น”
แม่เฒ่านาไบตะโกนตาม พอดีมีเสียงหวีดร้องของผู้หญิงหลายคนดังก้องมาจากบึงน้ำข้างหน้า โรบินสันจึงคว้าแขนเหี่ยวๆ ของแม่เฒ่าวิ่งตามขบวนไปอีก
เสียงกรีดร้องของคนจำนวนมากที่ดังมาจากริมบึงนั่นเอง เรียกให้หนุ่มสาวผู้พลัดถิ่นวิ่งตามวอมแบตน้อยไป แม่เฒ่าจำใจต้องตามหลังไป ใกล้เข้ามาจนได้ยินเรียกชื่อที่คุ้นเคยชัดเจนขึ้น
“มามิริ มามิริ.....กลับมา”
ผู้หญิงและเด็กกลุ่มหนึ่งซึ่งต่างมีรูปร่างหน้าตาผิวพรรณบ่งบอกให้รู้ว่าเป็นชนเผ่าเดียวกันกลับแม่เฒ่านาไบซึ่งยืนออกันอยู่บนฝั่งน้ำริมบึง กวักไม้กวักมือ ป้องปากตะโกนเรียกชื่อมามิริ เสียงดังลั่นสนั่นดงพงไพร
น้ำในบึงใสเหมือนกระจก เรือแคนูน้อยลำหนึ่งลอยนิ่งอ้อยอิ่งอยู่ไกลออกไป สะท้อนเงาในน้ำเป็นประกายระยิบในระลอกคลื่น
ทุกคนบนฝั่งตะโกนเรียกเธอ มามิริ สาวน้อยผู้นั่งอยู่ในแคนูลำน้อย ด้วยความห่วงใยตื่นเต้นเพราะที่ริมฝั่งมีสัตว์เลื้อยคลานหน้าตาดุร้าย ตัวใหญ่ยาวกว่าสี่เมตรกำลังโถมตัวมุ่งไปในน้ำ
ตูม...น้ำพุ่งกระฉอกเป็นลำสูง เมื่อมันพุ่งตัวลงไปอย่างมุ่งร้าย ตรงดิ่งไปที่คนบนเรือแคนู
แทนที่จะกลับเข้าฝั่งเรือลำน้อยกลับเคลื่อนไกลออกไปกลางบึง ด้วยเด็กสาวผู้ที่นั่งอยู่ในเรือจ้ำไม้พายพาเรือห่างออกไปไม่ยอมหยุด ไม่นำพาเสียงตะโกนตาม และสัตว์อะไรบงอย่างที่พุ่งไปหาจนน้ำแหวกเป็นทาง
“จระเข้ !!!”
พร้อมกับเสียงเฒ่านาไบกระโจนลงในน้ำอย่างลืมตัว หวังจะไปช่วยเด็กสาวที่แก
รักเหมือนลูกหลานของตัวเอง แต่ร่างกายที่แก่ชราทำให้แกล้มและจมลงในน้ำทันที
ชั่วที่ทุกคนทั้งกลุ่มที่ยืนอยู่ก่อนและผู้มาใหม่ตะลึงจังงังอยู่อึดใจนั้น ยายทวดของกิ่งคำปายในร่างวอมแบตก็วิ่งฉิวลงไปราวกับน้ำคือแผ่นกระดาน มือไวยื่นยาวคว้าเอาตัวคนในเรือแคนู และที่กำลังจะจมน้ำอยู่ใกล้ฝั่งขึ้นมาทันที
โรบินสันทันได้สติก่อนใครเขากระโจนไปช่วยอีกแรง ซึ่งกลับถูกลากขึ้นมาเพราะแรงฉุดของวอมแบตน้อยอีกคนทั้ง ๆ ที่เท้ายังไม่สัมผัสน้ำด้วยซ้ำ พร้อมกันนั้นเจ้าสัตว์ร้ายปากกว้างที่ฟาดอยู่ตูมตามก้ถูกดีดหงายท้องกระเด็นกระดอน เสียงดังโครมครามน้ำแตกกระจายเป็นฟองสูงรวดเร็ว
เร็วจนเขาเองก็งงงัน
งงงันเพิ่มขึ้นอีกเมื่อผู้คนทั้งหลายที่ชุมนุม ณ ฝั่งน้ำทุกคนหันมาขอบอกขอบใจเขา ราวกับเป็นวีระบุรุษในสงครามก็ไม่ปาน โดยเฉพาะหญิงสาวเจ้าของร่างอวบ หน้าเข้มตาคม ผมยาวดำขลับถักเปียเส้นเล็ก ๆ รอบศีรษะ ประดับด้วยเปลือกหอยที่ร้อยเป็นพวง หล่อนมีหนังจิงโจ้คลุมไหล่ยาวลงมาถึงหน้าท้อง ท่อนล่างมีเพียงมาลัยดอกไม้หลากสีมัดไว้รอบเอว กลีบดอกไม้คลอเคลียอยู่กับอวัยวะส่วนที่โค้งเว้าอร้าอร่าม หล่อนเข้ามาขอบคุณ ขอบอกขอบใจใกล้ชิด จนโรบินสันที่ยังงงงันอยู่แล้ว กลายเป็นต้องกั้นลมหายใจไม่กล้าสบตาคมกล้าที่มองหน้าเขาไม่วางตานั้น
วอมแบตน้อยนอนหมอบนิ่งตาแป๋วอยู่ที่เดิม โดยที่ไม่มีใครรู้ว่ามันได้ทำอะไรมา
กิ่งคำปายเท่านั้นที่เข้าว่าทุกคนขึ้นมาจากน้ำได้เพราะอะไร เด็กสาวใช้มือลูบขนนิ่ม ๆ ของเจ้าวอมแบตเบา ๆ เหมือนจะบอกขอบใจ จิงโจ้โมบายหันมาขยิบตาให้อย่างรู้กัน ทำให้โรบินสันที่ก้มหน้าหลบตาสาวชาวเผ่าบังเอิญเห็นเข้าประกายตาวาววับขึ้นทันที จ้องมองเด็กสาวชาวไทย กับเจ้าสัตว์ตัวน่ารักที่ตอนนี้กลับมาทำหน้าตายในอ้อมกอดของเธอด้วยแววตาคาดคั้น
“คุณ....กับ...”
ทันใดนั้นมีเสียงไชโยโห่ร้องดังขึ้นฝั่งน้ำที่อยู่ไม่ไกลนัก เป็นด้านที่มีร่างมหึมาของเจ้าสัตว์เลื้อยคลานถูกดีดปลิวกระเด็นไปตกดังตูมนั่งเอง ชายกลุ่มหนึ่งใช้แหลนกลุ้มรุมทุ่มแทงจระเข้จนมันสิ้นฤทธิ์ ละกำลังช่วยกันลากมันขึ้นสู่ฝั่งอย่างมีชัย เรียกความสนใจจากทุกคนไปก่อนรวมทั้งกิ่งคำปายที่หลงกระโดดโลดเต้น พลางร้องเชียร์เสียงดัง ราวกับเป็นนักล่าจระเข้ไปด้วย ไม่สนใจเขาสักนิด
มีแต่นางจิงโจ้สัตว์แม่ลูกอ่อนเท่านั้นที่มองสบตาเขาด้วยแววท้าทาย คล้ายดั่งสายตาของสาวน้อยจอมซน ขี้เล่นและหยอกล้อ
ชายหนุ่มผู้พลัดถิ่นเพราะเครื่องบินตกจึงได้แต่สงบปากสงบคำ เก็บความสงสัยไว้ในใจ และส่งสายตากลับไปว่า ฝากไว้ก่อนเถอะนางสัตว์แม่ลูกอ่อนเอ๋ย
มามิริตัวต้นเหตุขึ้นมายืนบนฝั่ง กอดอกตัวสั่นด้วยความตกใจ หน้าอกตุ่มตูมแห่งวัยแรกสาวเปลือยเปล่าสะท้านเหมือนดอกบัวตูมถูกกระแสน้ำพัดพาสายบัวที่โยงใยอยู่ใต้น้ำ ให้กลีบบัวระริกไหว ขนสัตว์ที่พันรอบเอวเปียกลู่ หยดน้ำไหลย้อยเป็นทางลงไปตามลำขาสีน้ำตาลกลมกลึง ปนกับเลือดจากกายสีแดงไหลหยดไปด้วยกัน
มีสายตาหลายคู่จ้องมองดูสายเลือดแห่งวัยสาวที่ไหลเป็นทางปนหยดน้ำ เด็กสาวรู้สึกตัว และเขินอายจนต้องกระโดดโจนกลับลงไปในน้ำอีกครั้ง เปลือกหอยที่ร้อยเป็นพวงพันอยู่รอบเอว และคล้องคอกระทบดังกริ๊ง กร่าง ยามเธอเคลื่อนกาย
แล้วเธอก็นั่งแช่ลงในน้ำห่อตัวนิ่งอยู่
“มามิริเจ้าขึ้นมาเถิด”
ใครบางคนในกลุ่มเรียก โรบินสันเพิ่งมองสำรวจทุกคนโดยรอบ เด็กทุกคน ณ ที่นั้นไม่ว่าเล็กหรือโตที่ต่างเปลือยกายล่อนจ้อน เผยให้เห็นผิวสีน้ำตาลขะมุกขะมอมเหมือนคลุกด้วยดินโคลน พวกผู้ใหญ่และสาว ๆ บ้างเปลือยร่าง บ้างมีหนังสัตว์คลุมไล่ หรือสะโพก หลายคนมีเปลือกหอยลักษณะคล้ายหอยขมตัวเล็ก ๆ ก้นแหลมเป็นกรวยนูนสีฟ้าอมชมพู หรือเขียวเหลือบมุก มีลวดลายสีน้ำตาลเหลือบเลื่อม ร้อยเป็นสร้อยประดับประดาตามร่างกาย เป็นเข็มขัดคาดเอว และกำไล สายสร้อย หรือประดับมวยผม
เนื้อตัว หน้าตาของทุกคนมีริ้วรอย ขีดข่วน หรือสักเช่นกับแม่เฒ่านาไบ เด็ก ๆ เท่านั้นที่ไม่มีทั้งรอยสัก และผืนหนังคลุมตัว แต่ทุกคนก็มีรอยแผลเป็นจากการขีดข่วนของคมหนาม หรือรอยไหม้จากไฟ ตามผิวหนัง ลำตัวหรือหน้าตาคนละหลาย ๆ แผลจนมองเหมือนจงใจทำเพื่อตกแต่งลวดลายประดับร่างกาย ผิวสีน้ำตาลจัดของทุกคนได้รับการพอกประเทืองด้วยแป้งสีส้มแดงผสมไขมันสัตว์
เด็กตัวเล็กที่ยังเดินไม่ได้จะถูกห่อไว้ด้วยถุง หรือผืนหนังสัตว์ประเภทจิงโจ้ ที่มีอยู่ดาษดื่นแถบนี้ และแม่ของเขาก็สะพายไว้บนหลัง ไหล่ หรือมัดผูกติดอกไว้ สะดวกเวลาก้ม ๆ เงย ๆ เก็บหอบเก็บปู ยังมีทารกที่ยังแบเบาะนอนอยู่ในตะกร้าวางอยู่แทบเท้าของแม่ ซึ่งมีอีกหลายใบที่ตั้งอยู่เคียงกันแต่ใช้บรรจุผลไม้และอาหารที่ช่วยกันหามาได้ เช่น หอย กุ้ง และสัตว์เล็กสัตว์น้อยหลายชนิด
“ขึ้นมาเถิดมามิริ พี่จะพาเจ้าไปพักในถ้ำ ถิ่นพำนักอันเป็นสถานที่แห่งความลับของผู้หญิงเอง”
สาวใหญ่ใจกล้านัยน์ตาคม ที่โรบินสันไม่กล้าสบตานั่นเอง เธอก้าวขาข้างหนึ่งลงไปในน้ำยื่นมือลงไปให้มามิริ พลางอ้อนวอน “เจ้าไม่ต้องอายหรอก ผู้หญิงทุกคนที่เติบโตเป็นสาวก็ต้องมีประจำเดือนกันทุกคนนั่นแหละ”
“ใช่.... แม่ของเจ้า ยายของเจ้า ป้า น้า ของเจ้าล้วนเป็นเฉกเช่นกัน เจ้าก็รู้ถึงเวลานั้นทุกคนก็จะแยกตัวออกจากค่าย ออกจากสายตาของผู้ชายไปอยู่ในสถานที่แห่งความลับของเราไง”
มีใครบางคนในที่นั้นช่วยอธิบายสนับสนุน แต่ไร้ผล คนที่อยู่ในน้ำยังนิ่งเฉย แถมก้มหน้าห่อตัวเข้าใช้มือกอดอกไว้ ครั้นถูกฉุดให้ลุกขึ้นเธอก็ปฏิเสธเสียงดังว่า
“ไม่จ๊ะพี่อารันดารี” เธอเรียกสาวใหญ่นั้นว่าพี่ “ข้าไม่...ไม่อยากให้พ่อรู้ว่าข้ามีความลับแล้ว ถึงเวลาที่ข้าต้องแต่งงานแล้ว พ่อต้องจัดการให้ข้า และข้าไม่อยากแต่งงานกับตาเฒ่า....”
เธอชะงักไปนิดหนึ่งคล้ายเกรงกลัว หรือไม่อยากเอ่ยชื่อนั้น แต่ที่สุดด้วยความรู้สึกบีบคั้นจนไม่หวั่นเกรงอะไรอีกแล้วจึงพูดปนสะอื้นออกมา
“ข้าไม่อยากแต่งงานกับตาเฒ่าบันดิ”
ทุกคน ณ ที่นั้นสะดุ้ง ราวกับได้ยินเสียงฟ้าคำราม
โรบินสันได้แต่มองกิ่งคำปาย ส่ายหน้าอย่างไม่เข้าใจ มามิริลงไปนั่งแช่ในน้ำ ผู้หญิงหลายคนในที่นั้นรวมแม่เฒ่านาไบต่างพากันเกลี้ยมกล่อมและปลอบโยน
***********************************************************