ลอยโคม หรือโคมลอย เพ็ญเดือนสิบสอง
โดยป่าน ศรนารายณ์ เรื่อง/ภาพ-ธงชัย เปาอินทร์
การปล่อยโคมลอยโด่งดังมากก็เมื่องานประเพณีลอยกระทงของชาวเชียงใหม่ หรือจังหวัดทางภาคเหนือของประเทศไทย ในการปล่อยแต่ละครั้งนับพันๆดวง ภาพที่สื่อออกสู่สายตาประชาชนคนพื้นล่างจึงดูสวยงามและยิ่งใหญ่อลังการเหนือคำพรรณนา วันนี้ กลายเป็นวัฒนธรรมประเพณีไปทั่วทุกแห่งหน ลอยกระทงขออภัยพระแม่คงคา ลอยโคมเป็นการปล่อยให้ลอยไปในอากาศ ส่วนจะขึ้นไปได้ไกลเพียงใด น่าจะอยู่ที่แรงเทียนที่ผลิตก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ประจุในโคมลอย
เดือนเพ็ญเห็นอร่าม
โคมลอยสร้างไม่ยาก มีโครงไม้ไผ่ที่เหลาจนเล็กราวๆธูป น้ำหนักเบา ห่อหุ้มด้วยกระดาษสาสีขาวหรือสีนวลๆ หรือกระดาษว่าว รูปของโคมทรงกระบอก ด้านหนึ่งตันเหมือนก้นถุง อีกด้านหนึ่งเปิดโล่ง ลำเทียนที่ปักบนก้านไม้ไผ่ได้หลายเล่ม หรืออาจมีเพียงสองสามเล่ม ก่อนปล่อยโคมลอยจึงต้องจุดเทียนให้เผาผลาญอ็อกซิเย่นให้กลายเป็นคาร์บอนไดอ็อกไซด์ ซึ่งเบากว่าก็จะลอยขี้นไปอัดแน่นอยู่ในโคม
แสงไฟในคืนลอยกระทง
เมื่อถ่วงน้ำหนักโคมดูแล้วว่า ท่าจะลอยขี้นได้แน่นอนแล้ว จึงค่อยๆจับมุมโคมด้านล่างแล้วอธิษฐานหรือบนบานในสิ่งที่ชอบหรือที่ปรารถนา เช่นอาจจะอธิษฐานว่า ขอให้ความทุกข์โศกโรคภัยลอยไปให้พ้นชีวิตของข้าพเจ้าและครอบครัว หรืออาจจะอธิษฐานขอคุณพระรัตนไตรให้ดลบันดาลแต่สิ่งที่ดีๆ ให้กับชีวิตตนเองและครอบครัว
โคมลอยกำลังจะปล่อย
ในการปล่อยโคมลอยจึงมักจะปล่อยโดยคนในครอบครัว ช่วยกันจับขอบโคมแล้วก็อธิษฐานตามใจตน ปัจจุบันนี้การปล่อยโคมลอยกลายเป็นเพื่อความสวยงาม หรือหนุ่มสาวมาร่วมกันปล่อยพร้อมคำอธิษฐานสาบานรัก ลอยกระทงในน้ำก็เหมือนกันที่หนุ่มสาวมักจะร่วมอธิษฐานสาบานรักต่อกัน
อย่างไรก็ตาม ประเพณีปล่อยโคมลอยก็เพิ่มความหฤหรรษให้กับเพ็ญเดือนสิบสองมากขึ้นอยู่ดี จริงไหม แม้ว่าในการปล่อยโคมลอยเหล่านี้ หลายครั้งก็เกิดอุบัติเหตุเพราะกระแสลมเปลี่ยน โคมลอยไปตกบนหลังคาบ้านที่มุงด้วยหญ้าคา หรือใบตองตึง เล่นเอาไฟไหม้บ้านไปทั้งหลัง สนุกไม่ออกเหมือนกันเน้อ
ลอยขึ้นไปแล้ว
ภาพที่เห็นในบทความนี้ ได้มาจากอำเภอวังทอง จังหวัดพิษณุโลก ชาวบ้านกำลังอัดก๊าซคาร์บอนไดอ็อกไซด์ใส่โคม แล้วก็ค่อยๆปล่อยสู่ห้วงนภากาศ เป็นอีกกิจกรรมหนึ่งของประเพณีลอยกระทงที่ถือปฏิบัติกันมานานแสนนาน เดี๋ยวนี้ในการสังสรรค์ระหว่างเพื่อนๆหรือคนในครอบครัว ก็เคยปล่อยโคมลอยเพื่อความสนุกสนาน ร่วมกัน