สรงน้ำพระทวารวดี 1,600 ปีที่วัดสว่างชาติประชาบำรุง
อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม
โดยธงชัย เปาอินทร์ เรื่อง-ภาพ
กำแพงแสนเป็นเมืองเก่าสมัยพุทธศตวรรษที่ 11-16 ตั้งอยู่ระหว่างเมืองอู่ทองและเมืองนครไชยศรี และเชื่อกันว่าน่าจะเป็นเมืองบริวารขนาดเล็กของเมืองนครไชยศรี มีพื้นที่ประมาณ 400 ไร่ ไม่เหลือสิ่งก่อสร้างโบราณแต่อย่างใดเลย ถ้ามองจากภาพถ่ายทางอากาศจะเห็นเป็นรูปสี่เหลี่ยมมุมมน มีคูน้ำขนาดกว้างกว่า 20 เมตรล้อมรอบ มีคันดินเสมือนหนึ่งเป็นกำแพงเหลือให้เห็นอยู่โดยรอบ
พระทวารวดีอายุ 1,600 ปี
มีร่องรอยประตูทางเข้า 4 ด้าน ได้แก่ทิศเหนือเรียกว่าประตูท่านางสรง ทิศตะวันออกเรียกว่าประตูท่าพระ ทิศใต้เรียกว่าประตูท่าช้าง และทิศตะวันตกเรียกว่าประตูท่าตลาด ตั้งอยู่ห่างจากอำเภอกำแพงแสนในปัจจุบันนี้เพียง 2-3 กิโลเมตรเศษๆ ชื่ออำเภอกำแพงแสนตั้งมาจากชื่อเมืองโบราณแห่งนี้ กำแพงแสนจึงไม่ใช่เพียงอำเภอที่อยู่ตรงรอยต่อระหว่างกาญจนบุรี สุพรรณบุรี และราชบุรี หากแต่มีประวัติศาสตร์ที่น่าขุดค้นสนใจยิ่ง
เจ้าอาวาสวัดสว่างชาติสรงน้ำพระทวารวดีโบราณ
สิ่งที่ชาวกำแพงแสนภูมิใจมากคือ เมื่อได้มีการขุดค้นเพียงบางส่วน แม้ถูกทำลายไปอีกหลายส่วน แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดๆ ชาวกำแพงแสนก็ยังเหลือความภูมิใจที่ได้พระสมัยทวารวดีไว้บูชาอันเป็นหลักฐานมั่นคงว่า เมืองกำแพงแสนมีอยู่จริง มีอยู่อย่างควรอนุรักษ์รากเหง้าชาวกำแพงแสนและมีพระทวารวดีให้กราบไหว้ได้สิริมงคลใส่ตัว ปัจจุบันนี้ พระทวารวดีได้เก็บรักษาและระแวดระวังภัยอยู่ที่วัดสว่างชาติประชาบำรุง ม.5 บ้านยาง ต.ทุ่งกระพังโหมอำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม
พล.ท.กะสิณ ทองโกมล ประธานในพิธีสรงน้ำพระทวารวดี
ผมเป็นชาวกำแพงแสนใหม่ย้ายมาจากจังหวัดอื่น แต่เมื่อมาอยู่แล้วก็รู้สึกว่าอยู่สุขสบายดีมีความสุข มีความก้าวหน้า และประกอบอาชีพสุจริตหลังเกษียนราชการได้อย่างเสรี วันนี้(17เมย.54)ได้ข่าวดีว่าจะมีการสรงน้ำพระทวารวดี พระเก่าแก่คู่บ้านคู่เมือง จึงได้เตรียมพร้อมด้วย กล้องถ่ายรูป เป้สะพายอุปกรณ์ และหัวใจใส่บุญตามประสาพุทธศาสนิกชนที่ดี ไปร่วมด้วย
นางอรทัย วุฒาพาณิชย์ นายกเทศมนตรีกำแพงแสน
นางอรทัย วุฒาพาณิชย์ นายกเทศมนตรีเทศบาลกำแพงแสนได้ร่วมกับพ่อค้าประชาชนในเขตพื้นที่ จัดงานสรงน้ำพระทวารวดีอายุ 1,600 ปีที่วัดสว่างชาติประชาบำรุง โดยมี พล.ท.กะสิณ ทองโกมล เป็นประธานในพิธีตอนบ่ายวันนี้ 17 เมษายน 2554 หลังจากนั้นได้เปิดโอกาสให้ประชาชนได้เข้าไปสรงน้ำพระทวารวดีและพระสงฆ์ที่นั่งอำนวยพรให้กับญาติโยม หลังจากนั้นก็ได้มีการรดน้ำดำหัวผู้สูงอายุของชาวกำแพงแสนอีกด้วย
ทีมงานเทศบาลกำแพงแสน
แต่บริเวณรอบนอกอันเป็นบริเวณวัด มีเยาวชนคนหนุ่มคนสาว ลูกเด็กเล็กแดง เล่นสาดน้ำสงกรานต์ใส่กันอย่างสนุกสนาน แม้ว่าวัฒนธรรมการรดน้ำจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ก็ยังคงความประทับใจให้กับพี่น้องชาวกำแพงแสนเป็นอย่างยิ่ง ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นมากมายหลายอย่างเช่น ไม่ได้ใช้ขันน้อยตักน้ำปรุงน้ำหอมและดอกไม้สีสวยรดที่ต้นคอสาว หากแต่เป็นการสาดด้วยขันใบโต หรือใช้ปืนอาก้าขนาดใหญ่ฉีดใส่กันและกันมันเขาละ
สรงน้ำพระเอาสิริมงคลใส่ตัว
ด้วยความก้าวหน้าที่เพิ่มขึ้นจึงมีพี่น้องบรรทุกถังน้ำขนาด 200 ลิตร ตั้งบนกระบะรถ แล้วหนุ่มสาวกระทั่งเฒ่าซ่าก็มากับเขาด้วย เรียกว่ายกกันมาหมดบ้าน ใช้ขันตักสาดน้ำสู้กับรถคันอื่นๆ แทนการเดินเข้าหากัน จราจรจึงติดขัด แต่ก็ไม่เกิดอุบัติเหตุใดๆ ที่สำคัญเดี๋ยวนี้ทั้งรถยนต์ รถมอเตอร์ไซด์ รถซาเล้ง ก็ประพฤติปฏิบัติเฉกเช่นเดียวกันหมด เป็นวิวัฒนาการณ์อย่างหนึ่ง
พี่น้องชาวกำแพงแสนร่วมงานคับคั่ง
ดินสอพองแต่เดิมใช้ทาหลังอาบน้ำ แต่เดี๋ยวนี้ใชละเลงกับน้ำในขันพลาสติกเพื่อใช้ควักทาหน้าในการเล่นสงกรานต์บ้านเรา เป็นอีกวิวัฒนาการณ์หนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หนุ่มๆจะถือโอกาสนี้ใช้แป้งลูบแก้มสาวๆ สาวๆก็ทำในทำนองเดียวกันอีก กลายเป็นวัฒนธรรมใหม่ที่เปลี่ยนแปลงจนเป็นประเพณีไปแล้ว ทั่วประเทศตั้งแต่ในกรุงเทพมหานครไล่ไปจนทั่วแคว้นแดนไทย ก็เล่นกันอย่างนี้ สาวเอย หากรักนวลสงวนแก้มละก้อ อย่าได้ไปลงเล่นสงกรานต์ประเทศไทยเชียว
มาทั้งครอบครัว สู้..สู้..สู้
ถึงอย่างไรก็ตาม แม้ว่าเกิดความเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ก็ยังน่าจะจัดให้มีการเล่นสงกรานต์ในช่วงเวลาเทศกาลอยู่ดี ก็ดีกว่าไม่เล่น แล้วเลิกไปเฉยๆ ประกอบกับการส่งเสริมให้เล่นสงกรานต์กันด้วยรูปแบบสมัยนี้ได้แผ่กระจายไปทั่วประเทศแล้ว ยากที่จะปรับเปลี่ยนเวียนไปหาสิ่งเก่าๆ คงต้องปล่อยให้เป็นอีกมิติหนึ่งของการเล่นสงกรานต์สมัยใหม่ก็แล้วกัน
สงครามน้ำ..water festival war
สงครามดินสอพอง..วัฒนธรรมใหม่
หล่อพิลึกกันไปหมด อิอิ
เตรียมสรรพาวุธเต็มพิกัด อิ่มบุญหรือจ๊ะ
ตามถนนหนทางมีให้เห็นเป็นระยะ