3 กค.54 วันตัดสินใจ "เลือกตั้งคนดีเข้าสภา"
โดยป่าน ศรนารายณ์ เรื่อง-ภาพ
หลังการตราพระราชกฤษฎีกา กำหนดวันเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 ปี่กลองก็เริ่มโหมกระหน่ำกันอย่างถึงพริกถึงขิง นักการเมืองอันได้ชื่อว่า นักเลือกตั้งอาชีพต่างก็ติดตั้งป้ายโฆษณาประชาสัมพันธ์ตนเอง บ้างก็เน้นความเป็นตัวตนของเขา บ้างก็เน้นนโยบายพรรคที่โดดเด่น บ้างก็เดินเคาะประตูบ้านพ่อแม่พี่น้องผองประชาชนคนรากหญ้าเพื่อแนะนำตนเอง และบ้างก็ใช้วิธีการกำหนดจุดปราศรัยหาเสียงทีละหมู่บ้านๆ ป่านไปเลือกตั้งทุกครั้ง แต่เพิ่งเคยไปเห็นการปราศรัยหาเสียงของนักการเมืองที่มีความตั้งใจ
"จะขอรับการตัดสินใจจากพ่อแม่พี่น้องผองรากหญ้าตามวิถีของระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข"
ป่านเห็นความยากลำบากของการเดินหาเสียงด้วยความบริสุทธิ์ใจแล้วน้ำตาคลอ แม้ปรารถนาจะขอรับใช้พ่อแม่พี่น้องก็ต้องเหนื่อยยากเหลือแสน
น้องสะไภ้.........มาช่วยหาเสียง
ใช่แล้วค่ะ ป่านได้กลับไปเยี่ยมบ้านเกิดที่จังหวัดอ่างทอง บ้านเกิดที่ได้ชื่อว่า "เป็นอู่ข้าวอู่น้ำ" มิใช่เมืองที่มี "อ่างทองคำ" ตั้งอยู่กลางเมือง ซึ่งนั่นคือความไขว้เขวของคำนิยาม(Definition)ของคำว่า "อ่างทอง" เรื่องนี้ ป่านรับไม่ค่อยได้เลย เพราะว่าการสร้างสัญลักษณ์ที่ผิดความหมายนั้น เป็นความเขลา ขาดปราชญ์ท้องถิ่นที่น่าจะออกมาทักท้วง กลัวอะไรกันคะ
บ้านเกิดของป่านมีชื่อเสียงมากๆเรื่องที่เป็นแดนดินถิ่นธรรมะที่อวดได้ว่ามีพระพุทธรูปปางต่างๆที่มีขนาดใหญ่โตจนน่าพิศวง แต่ก็สื่อให้เห็นนะคะว่า คนอ่างทองนั้นเป็นคนที่มีความเคารพและศรัทธาในพุทธศาสนา มิเช่นนั้นก็คงไม่มีบุญญาธิการถึงกับสร้างพระพุทธรูปองค์โตๆมากถึง 9 องค์ เป็นจังหวัดเดียวในประเทศไทยที่มีพระโตมากที่สุด
โดยปกติพื้นเพคนอ่างทองโดยเฉพาะคนรากหญ้าที่มีอาชีพหลักคือการทำนา การเลี้ยงปลา การเลี้ยงสุกร การเลี้ยงเป็ดไล่ทุ่ง(ไข่เป็ด) การทำสวนผลไม้ การผลิตเครื่องจักสานฝีมือเยี่ยมจนโด่งดังไปทั่วประเทศ(บางเจ้าฉ่า) และเชื่อหรือไม่ว่า เมืองอ่างทองนี่แหละครับที่ทำการเกษตรกรรมตามวิถีพอเพียงตามแนวพระราชดำริของในหลวงอย่างไม่น่าเชื่อ ถ้าพี่น้องผ่านไปจะเห็นว่า ชาวบ้านแต่ละหมู่บ้านเขาปลูกพืชผัก ผลไม้ แทนปลูกหญ้าญี่ปุ่นหน้าบ้าน มีเพียงถนนเข้าใต้ถุนบ้านเท่านั้นที่ไม่ปลูกพืชผักที่กินและขายได้เงินทุกวัน
คุณประพันธ์ อดีตแกนนำเสื้อแดงอ่างทองคนสำคัญ
ป่านเดินผ่านไปที่บ้านริ้วหว้า อำเภอแสวงหา จังหวัดอ่างทอง บริเวณตลาดชุมชน ริมคลองชลประทาน ลานไม่กว้างมากนักมีรถยนต์ รถมอเตอร์ไซต์ รถซาเล้ง รถขายปิ้งย่าง และคุณยายคนนั่งขายผลไม้อยู่ในอาคารของตลาดชุมชน ชาวบ้านที่มาห้อมล้อมกันนั้น ใส่เสื้อผ้าหลากสี แดงก็มี เขียวก็มี ดำก็เยอะ เหลืองคนหนึ่งเดินแจกน้ำแก้วใสๆให้กับพ่อแม่พี่น้องได้ดื่มแก้กระหาย มีรถยนต์นักการเมืองนามสกุลดังมากๆ ใส่เสื้อวอร์มสีขาวของพรรคเพื่อไทย อันเป็นพรรคการเมืองหนึ่งที่ลงหลักปักฐานไม่เคยสำเร็จสักครั้งในเขตนี้
พี่น้องรากหญ้าบ้านริ้วหว้า อ.แสวงหา จ.อ่างทอง
อากาศรอบๆตัวเริ่มคลายความร้อนลง แต่ก็เห็นผู้สมัครของพรรคการเมืองนั้นปาดเหงื่อจากหน้าผากหลายครั้ง เป็นนายพล.ต.ต.ที่เกิดในจังหวัดอ่างทอง แม้น่าจะเคยนั่งแต่ในห้องแอร์ นอนห้องแอร์ วันนี้ต้องลงมาหาเสียงตามระบอบประชาธิปไตยด้วยการตั้งเวทีเล็กๆ กลุ่มคนไม่มากนัก แต่มีทีมงานใส่เสื้อเหมือนๆกันเดินแจกใบปลิวบ้าง บัตรที่ระบุหน้าตา และเบอร์พรรค ส่วนหน้าเวทีก็มี "ตัวช่วย" ช่วยกันผลัดขึ้นไปหน้าไมค์ ปราศรัยให้ประชาชนได้รู้จักผู้สมัคร นโยบายพรรค ฯลฯ ด้วยความอดทน
โจ เปาอินทร์ ช่วยคุณพ่อปราศรัยหาเสียง
มีหนุ่มหน้าตาหล่อเหลามากชื่อ"โจ เปาอินทร์" ผู้ซึ่งโด่งดังจากหน้าสื่อประเภท ซุบซิบดารา ว่ามีนางเอกดังชื่อ"ขวัญ" ชอบกล่าวถึงบ่อยๆ ทำให้โจนักเรียนนอกต้องตอบข้อข้องใจนักข่าวเสมอว่า เพียงน้องที่รู้จักกัน
เขาขึ้นมาเล่านโยบายพรรคการเมืองเรื่อง "บัตรเครดิตเกษตรกร" แม้ภาษาไทยจะไม่ค่อยแข็งแรงนักด้วยว่าไปเรียนเมืองนอกเสียตั้งแต่เด็กๆ แต่ก็สามารถอธิบายให้เข้าใจได้อย่างชัดเจน ส่วนเกษตรกรจะเห็นดีด้วยหรือไม่นั้นก็ต้องรอพิสูจน์กัน
พล.ต.ต.ประจวบ เปาอินทร์ เคยลงสมัครรับเลือกตั้งเขต 2 จังหวัดอ่างทองอันประกอบด้วยอำเภอโพธิ์ทอง,แสวงหา,ไชโย,และสามโก้ มาแล้ว 3 ครั้ง ครั้งที่หนึ่ง แพ้นักการเมืองคนดังหลายสมัย สมศักดิ์ ปริศนานันทกุล ครั้งที่สอง ได้รับเลือกตั้ง แต่ไม่ได้เข้าสภา มีการยื้อการเลือกตั้ง และครั้งที่สาม แพ้อีกครั้ง 3,000 กว่าคะแนน
ครั้งนั้น มีข่าวตามมาอย่างโด่งดัง ดังไปทั่วประเทศ ว่ามีการเผาถุงคะแนน และมีผู้หวังดียกถุงใส่บัตรที่เผาไปทิ้งไว้ให้ที่ทำการพรรค อ.วิเศษชัยชาญ ของพล.ต.ท.วิโรจน์ เปาอินทร์ พร้อมจดหมายเล่าเรื่อง
พล.ต.ต.ประจวบ เปาอินทร์ ผู้สมัครจากเพื่อไทยเบอร์ 1 อ่างทองเขต2
ทีมงานที่ผลัดกันขึ้นเวทีเล่าให้ฟังว่า แม้พล.ต.ต.ประจวบ เปาอินทร์ จะแพ้ถึงสองครั้ง เคยได้คะแนนถึงห้าหมื่นกว่า และฟาวล์ไปอีกหนึ่งครั้ง สามครั้งแห่งความปราชัย ไม่ได้ทำให้ พล.ต.ต.ประจวบ ผู้มีผิวพรรณสะอาดตา รูปร่างขาวบาง ใบหน้าเปื้อนยิ้มตลอดเวลา พูดจาปราศรัยไม่เก่ง แต่เป็นเจ้าของค่ายมวย ป.เปาอินทร์ที่เคยทำชื่อเสียงให้กับประเทศไทยด้วยการเป็นแชมป์เปี้ยนโลกถึง 2 คน ชนะและสงคราม ป.เปาอินทร์ ทำชื่อเสียงให้กับจังหวัดอ่างทองและประเทศไทยไปทั่วโลก
แม้ผู้การประจวบจะแพ้แล้วแพ้อีก ก็ยังมีความแน่วแน่ที่อยากรับใช้พ่อแม่พี่น้องชาวอ่างทองเขต 2 อย่างไม่ลดละ ครั้งนี้ยังสังกัด พรรคเพื่อไทย (ได้เบอร์ 1)เหมือนเดิม ใช้สโลแกนของพรรค "ทักษิณคิด เยาวลักษณ์ทำ" แต่ครั้งนี้ไม่ได้ต่อสู้กับนายสมศักดิ์ ปริศนานันทกุล เพราะว่านายสมศักดิ์ถูกคดีปกปิดทรัพย์สินกับปปช.เว้นวรรคทางการเมือง 5 ปี
นายสมศักดิ์ส่งลูกชายลงเลือกตั้งแทน เขาใช้สโลแกนหาเสียงว่า "คนอ่างทองคิด ภราดรทำ" ภราดร ปริศนานันทกุล สังกัด พรรคชาติไทยพัฒนา (เบอร์ 21)
ลอกแนวคิดกันหรือเปล่าก็ไม่รู้..ป่านโง่ค่ะ
ผู้ปราศรัยยังเล่าต่ออีกว่า ตลอดเวลาที่พี่น้องที่เคยสนับสนุนบอกงานบวชงานแต่ง ผู้การเขาไม่เคยเว้นที่จะไม่มาร่วมเป็นเกียรติในงาน ไม่เคยมีใครเห็นผู้การประจวบหน้าบึ้งตึง หรืออารมณ์เสียใส่ใครๆ มางานแล้วต้องรีบไปอีกงานก็ไม่รีรอที่จะต้องพบกับพี่น้องประชาชนเยอะๆ มาเพราะว่าให้เกียรติพี่น้องเชิญ ไม่ได้มาเอาหน้าหาคะแนนเสียง
ป่านฟังเรื่องราวแล้วก็ได้แต่แอบมองใบหน้าของผู้สมัครคนนี้ ก็เห็นอย่างว่า ยิ้ม ยิ้ม ยิ้ม ยิ้มจนหน้าบานเป็นกระด้งแล้ว
อดีตสส.จังหวัดสิงห์บุรี แกนนำคนเสื้อแดง
พี่น้องที่มานั่งฟังเริ่มกระชับเข้ามาใกล้เวทีเมื่อ นักการเมืองคนดังเมืองสิงห์บุรี ชื่อ พายัพ ปั้นเกตุ ใส่เสื้อสีแดงกางเกงยีนขึ้นเวที ขึ้นได้ก็พูดใส่ไมค์ว่า เพื่อป้องกันคนที่มาแอบอัดเสียงการปราศรัยอยู่หลังๆชาวบ้านรอบนอกนั้น จะได้อัดได้ยากขึ้น จึงปิดไมค์โครโฟน ใช้เสียงแท้ปราศรัยให้พี่น้อง 300 คนฟัง พี่น้องผองรากหญ้าก็ขยับกันเข้ามาจนหน้าเวทีแน่น
ป่านนั่งมองแล้วรู้สึกว่า น่าจะเป็นกุสโลบายที่จะให้พี่น้องที่ชอบนั่งฟังอยู่ห่างๆเข้ามาใกล้ๆหน้าเวทีมากกว่ากลัวถูกอัดเสียง ดูแล้วคนอย่างพายัพไม่มีวันกลัวแน่นอน
พายัพ ปั้นเกตุ แกนนำเสื้อแดงคนดัง
นักการเมืองจากเมืองสิงห์บุรีคนนี้ เป็นแกนนำคนเสื้อแดงคนสำคัญคนหนึ่ง จึงมีแฟนๆเสื้อแดงจากสิงห์บุรีตามมาฟังบางส่วน เพิ่มสีสันให้กับเวทีปราศรัยเล็กๆที่บ้านริ้วหว้าไม่น้อย มีเสียงหัวเราะ มีเสียงเฮ มีเสียงตะโกนเสริม เป็นลูกคู่ที่ทำให้สนุกสนานเพิ่มขึ้นมากๆ หลังจากพายัพ ปั้นเกตุ จบการปราศรัย ก็เป็นอันว่า ยุติการหาเสียงตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข เสียงรถเสียงแตรดังขึ้นไม่ขาดสาย แยกย้ายกันกลับบ้าน
มีเพื่อนดีก็อย่างนี้แหละ แม้ยุ่ง แม้อยู่ไหน ก็ยังวนมาช่วยเหลือกัน
มาลัยกำลังใจจากพี่น้องรากหญ้า
ป่านก็กลับบ้านเหมือนกัน แต่กลับไปด้วยความคิดคำนึงถึงเรื่องการตัดสินใจที่จะต้องเลือกคนดีๆเข้าสภา ซึ่งการจะพิจารณาว่าคนไหนดี คนไหนเลว เขาว่าต้องดูกันนานๆ และเมื่อเห็นความจริงถ่องแท้แล้วค่อยตัดสินใจ วันนี้พรรคการเมืองนี้มาสำแดงความดีงาม พี่น้องประชาชนก็ต้องรับฟังแล้วก็กลับไปคิดพิจารณาด้วยเหตุด้วยผล ถ้าไม่แน่ใจในการตัดสินใจของตนเองนักก็ปรึกษาคนในครอบครัว ถ้ายังไม่มั่นใจก็ต้องเข้าไปชุมนุมในกลุ่มหมู่บ้านว่า จะเลือกคนดีคนไหนดี
แดงมากันไม่น้อย
วันนี้ ระบอบประชาธิปไตยอยู่ที่ปลายนิ้วของท่านที่จะกาบัตรเลือกตั้ง ซึ่งต้องเลือกทั้งคนและทั้งพรรค เพื่อเข้าไปเป็น สส.เขต2 และ สส.บัญชีรายชื่อของพรรค
วันที่ 3 กค.54 คือวันตัดสินใจเลือกคนดีเข้าสภา จะได้ สส.ดี หรือได้ สส.เลว อยู่ที่ท่านจะตัดสินใจกากะบาทเบอร์ที่ท่านตัดสินใจ ท่านพิพากษา สส.ได้ทั้งสองระบบ แต่ต้องเป็นไปด้วยความบริสุทธื ยุติธรรม และ ท่านคือคนที่มีส่วนร่วมในการคัดสรรครั้งนี้
การรับเงินเพื่อจูงใจให้ไปเลือกนั้นผิดทั้งกฏหมาย ผิดทั้งศิลธรรม ผิดจริยธรรม และท่านเองจะช้ำใจไปตลอด 4 ปีเต็มๆ "เลือกคนผิดคิดจนตัวตาย"
คิดให้ดีเถอะนะพี่น้อง
ป้ายนี้เป็นเงินภาษีของประชาชน..ผิดไหม?