หลวงพระบางตอน6.
ร่องรอยอดีตที่เหลืออยู่ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ ณ หลวงพระบาง
โดยธงชัย เปาอินทร์ เรื่อง-ภาพ
อ้างอิงจากพงศาวดารล้านช้าง ขุนบรมหรือพีล่อโก๊ะ ปกครองเมืองหนองแส ได้โปรดให้ราชโอรสทั้ง 7 พระองค์ไปปกครองเมืองต่างๆ ดังนี้คือ ให้ขุนลอ หรือโก๊ะล่อฝง ราชบุตรองค์โตไปปกครองดินแดนที่แม่น้ำโขงและแม่น้ำคานไหลมาบรรจบกันชื่อว่าเมืองชวา หรือเมืองซวา หรือเมืองซัว อันเป็นเขตปกครองของขอม ขุนลอได้ผลักดันชาวขอมออกไปจนพ้นดินแดน และต่อมาได้ตั้งราชธานีของอาณาจักรล้านช้างขึ้นที่นี้ เปลี่ยนแปลงชื่อเมืองเป็น เมืองเชียงทอง ราวๆปีพ.ศ.1300
ส่วนน้องของขุนลอทั้ง 6 องค์ ก็ได้ไปปกครองดินแดนต่างๆดังนี้คือ ท้าวผาส้านปกครองเมืองหอแตร หรือต้าหอ หรือสิบสองปันนา ท้าวจุลง ปกครองเมืองโกดแท้แผนปม หรือเวียตนามในปัจจุบันนี้ ท้าวคำผงปกครองเมืองเชียงใหม่ ท้าวอิน ปกครองเมืองลานเพียศรีอยุธยาหรือละโว้ ท้าวกม ปกครองเมืองมอน หรือเมืองอินทรปัต หรือหงสาวดี และท้าวเจือง ปกครองเมืองพวน หรือเมืองเชียงขวาง
ต่อมาขุนลอได้ปกครองอาณาจักรล้านช้างแทนพระราชบิดา แต่ฝ่ายจีนไม่ยอมรับสถานะของขุนลอ จึงเกิดศึกกันขึ้น สู้กันอยู่หลายปี ในที่สุดจีนพ่ายแพ้เสียทีแก่ขุนลอ ขุนลอได้เมืองเพิ่มมาถึง 32 หัวเมือง ขุนลอปกครองแบบศูนย์รวมอำนาจทำให้เกิดเอกภาพมีความเป็นปึกแผ่นมากขึ้น หลังจากนั้นอาณาจักรล้านช้างก็ได้ปกครองโดยกษัตริย์อีกหลายรัชกาลเช่น ขุนอิโมชิน ฮินหลง ขุนอินหลี ขุนฟ้าเย่า ขุนเอี้ยว ขุนชุนฟ้า ฯลฯ
พระราชวังชั้นเดียวยกพื้นสูงศิลปะฝรั่งเศสผสมล้านช้าง
อีก 631 ปีต่อมา ปีพ.ศ.1814 เมืองชวาเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองเชียงทอง โดยพระยาลังธิราช สถาปนาตนเองเป็นกษัตริย์ปกครอง ปีพ.ศ.1859 พระยาสุวรรณคำผง หรือเจ้าฟ้าหลวงโง่ม ขยายอาณาเขตออกไปครอบคลุมเชียงรุ่ง เชียงแสน เวียงจันทน์ หนองหานหลวง ฯลฯ ต่อมา พ.ศ.1887 ขุนผีฟ้าขึ้นปกครอง 4 ปีแล้วถูกพระเจ้าคำเฮียวผู้น้องขึ้นปกครองแทน ส่วนขุนผีฟ้าหนีไปอยู่ในอาณาจักรขอม
ช้างสามเศียรบนหน้าบันเป็นตราสัญญลักษณ์ของราชวงศ์
ปีพ.ศ.1892 เจ้าฟ้างุ่มหรือเจ้าฟ้างุ้ม ราชบุตรองค์โตของขุนผีฟ้าได้เป็นราชบุตรเขย(สมรสกับพระนางแก้งเก็งยาหรือแก้วกัลยา) ของพระเจ้าพระเจ้าชัยวรรมาธิปรเมศวร(กษัตริย์ขอมองค์สุดท้าย) เพื่อเป็นการส่งเสริมแก่ราชบุตรเขยจึงได้เคลื่อนทัพ 20,000 คนจากนครธม เข้ายึดเมืองเชียงรุ่ง เชียงขวาง เมืองแถง ฯลฯ ปีพ.ศ.1896 เจ้าฟ้างุ่ม เดินทัพมาตามลำน้ำอู ผ่านเมืองงอย เข้าตั้งมั่นยังเมืองปากอู ได้เกิดการสู้รบกับพระเจ้าอา เจ้าฟ้าคำเฮียว ซึ่งเป็นกษัตริย์ปกครองเมืองเชียงทอง (เมืองชวาเดิม) เมื่อสู้ไม่ได้ก็ได้ปลงพระชนย์ตนเอง ข้าราชบริพารจึงเชิญเจ้าฟ้างุ่มขึ้นปกครองเมืองเชียงทอง
ในนาม "สมเด็จเจ้าฟ้างุ่มแหล่งหล้าธรณี ศรีสัตตนาคนหุต"
นักท่องเที่ยวเข้ามาชม
ระหว่างปีพ.ศ.1897-1900 เจ้าฟ้างุ่มเคลื่อนทัพไปทั่วแว่นแคว้นเพื่อขยายอาณาเขตไปถึงล้านนา เมืองยู้ เมืองยอง เชียงแข็ง เวียงจันทน์ เวียงคำ หนองหาน โคราช ตลอดจนหัวเมืองต่างๆที่อยู่ในภูมิภาคอีสานของไทยในปัจจุบันนี้ เป็นอาณาจักรลาวโคตบูรณ์และล้านช้างได้สำเร็จ แต่ได้มีพระราชสาร์นถึงพระเจ้าอู่ทองขอเจริญสัมพันธไมตรีต่อกัน พระองค์เป็นมหาราชอีกพระองค์หนึ่งที่ชาวลาวให้ความเคารพนับถือมาก
เจ้ามหาชีวิตศรีสว่างวัฒนา
เรื่องราวร่องรอยอดีตของเมืองเชียงทองยังดำเนินไปตามวิถีแห่งเมืองที่แก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน จนกระทั่งถึงปีพ.ศ.2063-2090 พระเจ้าโพธิสารราช ปกครองเมืองเชียงทองอย่างสงบสุข พระองค์มีราชโอรสชื่อพระไชยเชษฐาธิราช อยู่กับฝ่ายมารดาซึ่งเป็นเชื้อสายแห่งราชวงค์ล้านนา และเมื่ออาณาจักรล้านนาเกิดว่างเว้นพระมหากษัตริย์ปกครอง จึงได้อัญเชิญพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชขึ้นครองราชย์ เพื่อถ่วงดุลย์อำนาจระหว่าง หงสาวดีกับล้านช้าง
ปราสาทเฟื้องอยู่บนหลังคาชั้นกลางลดหลั่นสี่ชั้น
ต่อมาปีพ.ศ.2090 พระเจ้าโพธิสารราชสวรรคต(ครองราชย์ปีพ.ศ.2063-2090) พระเจ้าไชยเชษฐาธิราช จึงต้องเสด็จกลับอาณาจักรล้านช้าง เพื่อมาปกครองเมืองเชียงทอง พระองค์ได้อัญเชิญ "พระแก้วมรกต" จากนครเชียงใหม่กลับมายังเมืองเชียงทองด้วย พระเจ้าไชยเชษบาธิราชทรงครองราชย์ระหว่างปีพ.ศ.2091-2114 ได้ดำริที่จะย้ายพระนครหลวงไปยังเวียงจันทน์ ในปีพ.ศ.2103 เพื่อหลีกเลี่ยงอำนาจบารมีของพระเจ้าบุเรงนองแห่งอาณาจักรพม่า
พระเจ้าไชยเชษฐาธิราชทรงย้ายราชธานีไปยังเวียงจันทน์ เรียกว่า "กรุงจันทรบุรีศรีสัตตตนาคนหุตอุดมราชธานีล้านช้างร่มขาว" หรือกรุงเวียงจันทน์ในกาลต่อมา และทรงเปลี่ยนชื่อเมืองเชียงทองเป็น "หลวงพระบาง" พระองค์เป็นกษัตริย์ที่ได้รับความเคารพมากที่สุด
จนกระทั่งปีพ.ศ.2249 อาณาจักรล้านช้างได้แตกออกเป็น 2 อาณาจักรคือ อาณาจักรล้านช้างหลวงพระบาง อาณาจักรล้านช้างเวียงจันทน์
และในปีพ.ศ. 2256 อาณาจักรล้านช้างจำปาศักดิ์ ได้ประกาศแยกตัวออกเป็นอีกประเทศหนึ่ง ลาวแตกเป็นสามก๊กไปโดยปริยาย
ต่อมาลาวก็ยังคงแตกแยกจากการแบ่งฝักแบ่งฝ่าย แม้ว่ารัตนโกสินทร์ และหงสาวดี จะไม่ได้เข้าไปมีอิทธิพลเหนือแผ่นดินแล้วก็ตาม ต่อมาเมื่อฝรั่งเศสเข้าครอบงำ ประเทศลาวก็ยังแตกออกเป็นฝักเป็นฝ่าย จึงตกอยู่ในปกครองของฝรั่งเศสที่บังคับเอาจากประเทศสยาม
ปีพ.ศ.2518 ขบวนการประชาธิปไตยแห่งชาติลาวสามารถเข้ายึดครองได้ ราชวงศ์ลาวที่เคยทะเลาะเบาะแว้งกันเสมอๆ ก็ได้อันตรธานหายไปจากประเทศในระบอบการปกครองใหม่ สิ้นสุดยุคสมัยที่มีพระเจ้ามหาชีวิตปกครองตลอดกาล
ร่องรอยที่เหลืออยู่ในหลวงพระบาง อดีตนครรัฐที่เคยยิ่งใหญ่มาอย่างยาวนานนั้นเหลือเพียงอดีตพระราชวังหรือหอคำ เป็นศิลปะฝรั่งเศสผสมล้านช้าง เริ่มสร้างในสมัยพระเจ้าสักกะริน ปีพ.ศ.2447 วันนี้ได้กลายเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหลวงพระบาง โรงละครที่เคยเป็นที่ทรงพระสำราญของพระมหากษัตริย์ และวัดที่ปราศจากพระสงฆ์ในพระบรมราชวัง
หอคำหรือพระราชวังของเจ้ามหาชีวิต ทรงฝรั่งเศสผสมนั้นเป็นอาคารยกพื้นสูงชั้นเดียว โดดเดี่ยวเดียวดายอยู่ในดงตาล ดูแล้วเศร้าใจพิลึกครับ
ตัวหอคำแบ่งออกเป็นห้องฟังธรรม ห้องพิธีการ ห้องพระ ห้องเข้าเฝ้า ห้องโถงพระโรงใหญ่ ห้องรวบรวมวัสดุมีค่าจากการบูรณะปฏิสังขรณ์ พระธาตุหมากโม วัดวิชุนราช เครื่องราชกกุธภัณฑ์ เครื่องเพชร เครื่องทอง ลาวเรียกทองคำว่า คำ แต่เรียกทองเหลืองหรือทองสัมฤทธิ์ว่า ทองคำ ห้องจัดเลี้ยง ห้องเสวย ห้องพระมเหสีคำผุยซึ่งเป็นชาวหลวงพระบางที่ทรงอภิเษกสมรสกับเจ้ามหาชีวิตสว่างวัฒนา
มีอยู่ห้องหนึ่งล้อมกรอบด้วยลูกกรงเหล็กดูแน่นหนา เป็นที่ประดิษฐาน "พระบาง" อันเป็นพระศิลปะลังกา ปางประทานอภัยทั้งสองพระหัตย์ หรือปางห้ามสมุทร เป็นพระยืนหนัก 54 กก. เป็นทองคำแท้ 90 % มิน่าเล่า ถึงได้ประดิษฐานอยู่ในห้องกรงเหล็กอย่างแน่นหนา ส่วนพระองค์อื่นๆก็เป็นพระสลักจากศิลา
ปีพ.ศ.2518 ได้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชเป็นระบอบสาธารณรัฐประธิปไตยลาว พระราชวังจึงกลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์ตราบเท่าทุกวันนี้
ส่วนอุโบสถที่เห็นอยู่ในภาพนั้น เป็นศิลปะล้านช้างผสมผสานกับล้านนาอย่างยากจะแยกกันออกได้ หลังคาชั้นกลางลดหลั่นสี่ชั้น หลังคาชั้นหน้าลดหลั่นสามชั้น และหลังคาชั้นหน้าสุดลดหลั่นเพียงสองชั้น มีปราสาทเฟื้องอยู่บนหลังคาชั้นกลางที่ลดหลั่นสี่ชั้น ช่อฟ้างดงามคล้ายศิลปะล้านนาหรืออยุธยา บานประตูสลักลวดลายสวยงาม ภายในมีธรรมมาศเทศธรรมคู่ ตกแต่งด้วยลายสลักทาสีทอง รูปลักษณ์เหมือนกับศิลปะล้านนาหรืออยุธยาเช่นกัน
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติหลวงพระบางตั้งอยู่ริมถนนศรีสว่างวงศ์ ตรงข้ามกับวัดพระธาตุภูสี เปิดให้เข้าชมตั้งแต่วันจันทร์-วันเสาร์ เวล่า 8.00-13.30 น. และเวลา 13.30-16.00 น. ค่าเข้าชม 30,000 กีบ(120 บาท) ค่าธรรมเนียม 5,000 กีบ(20 บาท)
เมื่อเข้าไปชมแล้วก็ได้แต่สะท้อนใจว่า อันชีวิตของคนเรานั้นช่างไม่แน่นอน วันหนึ่งทรงเป็นเจ้ามหาชีวิต แต่อีกวันหนึ่งเมื่อโลกเปลี่ยนไป ทรงเป็นเพียงอดีตที่ยังจดจำกันได้เท่านั้น แต่จะฟื้นอดีตเจ้ามหาชีวิตกลับคืนมาไม่ได้อีกแล้ว
ความแน่นอนคือความไม่แน่นอน เป็นอุทาหรณ์สอนใจให้จดจำไว้