แก่งสะพือ...วันที่น้ำเปี่ยมตลิ่ง
“พอแพง”
เที่ยวชมแก่งสะพือ
งามสมชื่อเลื่องลือทั่วไป มองสายน้ำหลากไหล
พัดโดนแก่งหินน้อยใหญ่ กระเซ็นเป็นฝอยงดงาม.....
เสียงเพลงแห่งมนตร์ขลังของคุณ ทูล ทองใจ สมัยเมื่อแก่งสะพือเพิ่งเป็นที่รู้จักทั่วไปใหม่ ๆ ส่งให้แก่งสะพือกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวลือชื่อของจังหวัดอุบลราชธานีเป็นความภูมิอกภูมิใจของลูกแม่มูล อำเภอพิมูน(ชื่อเดิมของ อ.พิบูลมังสาหาร)และใกล้เคียงตลอดมา
“แก่งสะพือ” เป็นเกาะกลางลำน้ำมูลมีต้นไม้อยู่เพียงเล็กน้อย(เป็นต้นไม้ชนิดเดียวที่อยู่ได้แม้น้ำท่วม ชื่อ ต้นไค้ - ดอกกินกับน้ำพริกได้) ท่ามกลางโขดหินขรุขระ น้อยใหญ่ สูงต่ำ ขวางลำน้ำมูลบริเวณหน้าวัดสระแก้วในเขตเทศบาลเมืองพิบูลมังสาหาร ชาวท้องถิ่นที่นี่เรียกแก่งว่า “แก้ง” เรียก เกาะว่า “ดอน” ซึ่งมีอยู่หลายแห่งใกล้เคียง เช่น แก้งตะนะ แก้งหมากพริก แก้งส้มป่อย แก้งไก่เขี่ย ดอนมดแดง ดอนธาตุ(ปัจจุบันเป็นที่ตั้งวัดหลวงปู่เสาร์)
โดยลักษณะธรรมชาติของน้ำในแม่น้ำที่หลากไหลจากที่สูงกว่าเสมอ เมื่อมาเจอโขดหินที่ขรุ ๆ ขระ ๆ สูง ต่ำ เล็ก ใหญ่ รูปร่างแปลกๆกันไป น้ำก็จะเลาะเลื้อย กระโจนไหลแตกแยกเป็นสาย ๆ บางสายกลายเป็นน้ำตกซ่าสาดกระเซ็นสวยงาม บางสายไหลวนมาหยุดเป็นแอ่งน้ำใสที่ไหลลอดลงใต้โขดหินหายไป แก่งสะพือจะโดดเด่นเห็นชัดเจนและสวยงามที่สุดในฤดูน้ำลด ใครได้ไปชมแล้วก่อให้เกิดความเพลินตาเพลินใจ ไม่ผิดจากคำบรรยายในบทเพลงคุณทูล ทองใจ(ร้อยแก้ว รักไทย ประพันธ์) ที่ว่า
แว่วเพลงขลุ่ยชาวไพร
เหมือนโน้มให้ จิตใจสุขตาม เพลินธรรมชาติงาม
เสียงเพลงแผ่วผิวทุกงาม เสียงน้ำซัดสาดแก่งหิน....
นอกจากความสวยงามให้เพลินตาเพลินใจแล้ว โขดหินขรุขระ เป็นร่อง เป็นรูเป็นโพรง เป็นถ้ำ ใต้น้ำเหล่านี้ก็คืออาณาจักรแห่งสัตว์น้ำกุ้ง หอย ปูปลา แก่งสะพือจึงเป็นที่ทำมาหากินของชาวบ้านมาแต่ครั้งปู่สังกะสาย่าสังกะสี ก่อนกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวเฉกเช่นในปัจจุบัน ร่องรอยการตั้งบ้านเรือนอยู่อาศัยมีอยู่ทั้งสองฝั่งซ้ายขวาของแก่งสะพือ พบโบราณสถาน โบราณวัตถุในวัฒธรรมขอมโบราณยุคเจนละอยู่ทั่วไป(ปัจจุบันบางส่วนถูกเคลื่อนย้ายไปที่อื่น และผุพังถูกสิ่งก่อสร้างใหม่ทับถมลงจมดินไปแล้ว)
ในความสวยงามก็มีอันตรายอยู่คู่กัน โขดหิน และสายน้ำอันน่าหลงใหลคือแหล่งตำนานเล่าขานถึงความลึกลับเข็ดขวาง(เฮี้ยน ศักดิ์สิทธิ์) บางตำนานว่าใต้ลงไปคือเมืองบาดาล บางความเชื่อว่าใต้ลงไปมีทางน้ำ หรืออุโมงค์ที่ทอดยาวต่อเชื่อมไปถึงถ้ำบางถ้ำในลำน้ำโขง(อ้างว่าพระธุดงค์บางท่านเคยใช้เดินทางมาแล้ว)ซึ่งอยู่ไกลออกไปหลายสิบกิโลเมตร แต่ตำนาน ความเชื่อที่มีหลักฐานพยานบุคคลก็คือ มีหินพระนารายณ์(เทวรูป) หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า “พระพือ” อยู่ในถ้ำใต้น้ำ เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำแก่งสะพือที่ผู้คนเคยลงไปบนบาน กล่าวขอ และหนุ่มสาวมักลงไปกราบไหว้สาบานรักต่อกัน ต่อมาในสมัยนายปรีชา คชพลายุกต์เป็นนายอำเภอพิบูลมังสาหาร ได้ทำพิธีเคลื่อนย้ายหินพระนารายณ์นี้ขึ้นมาไว้ที่วัดสระแก้ว(คำบอกเล่าจากหลวงปู่ที่วัดสระแก้ว)ตำนานพระพือจึงค่อย ๆ ลบหายไปกับสายน้ำ ซึ่งปัจจุบันมีเขื่อนปากมูลขวางกั้นทำให้แก่งสะพือจมอยู่ใต้น้ำ เป็นเวลานานมากกว่าแต่ก่อนในแต่ละปี แต่แก่งละพือก็ยังมีชีวิต บนลานด้านหน้าวัดสระแก้วจัดเป็นสวนสวยงาม ร่มรื่นให้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของผู้มาเยือน ร้านอาหาร ร้านขายของที่ระลึกจึงยังคงอยู่ ไม่จมหายไปใต้น้ำเหมือนแก่งสะพือ
แม้ในวันที่น้ำเปี่ยมตลิ่ง แก่งสะพือแห่งนี้ก็ยังมีมนตร์เสน่ห์ ต้นไม้ สายลมและสายน้ำให้ความงามสบาย ๆ เสมอ สำหรับผู้ต้องการบรรยากาศเงียบ ๆ ก็มีมุมให้หลบพักมีเสื่อให้เช่านอน ๆ นั่ง ๆ ฟังเสียงนกทอดมองสายน้ำไปพลาง
สายน้ำยังคงรินไหลซัดเซาะแก่งหินใต้น้ำ สายลมยังคงพัดพลิ้ว อาณาจักรของสัตว์น้ำในแก่งสะพืออาจมีการเปลี่ยนแปลงผันแปรไปตามเงื่อนไขสิ่งแวดล้อม ปลาบางชนิดอาจลดน้อยลง หรือสูญพันธุ์ไป แต่มีพันธุ์ใหม่ ๆ หลายชนิดถูกปล่อยลงในแม่น้ำแทน ผู้มาเสพความงามของแก่งสะพือจึงซื้อกิน ซื้อกลับบ้านได้หลายรูปแบบ ปลาแห้ง ปลาเผา กุ้งเต้น ตำบักหุ่งก็มี แถมเสื่อให้ปูนั่ง ๆ นอน ๆ สบาย ๆ ใต้ร่มไม้ใหญ่ริมแก่ง
ชีวิตหลากหลายริมแก่งหน้าวัดสระแก้วยังคงมีสีสัน และหากเป็นช่วงสงกรานต์ด้วยแล้วจะมีความสนุกเข้ามาเจือมาแจมแต้มสีสันให้คุณฝันถึงแก่งสะพือไม่รู้ลืมเลยแหละ
ยุคสมัยเปลี่ยนแปลงแต่แก่งสะพือยังคงมีมนตร์ เสน่ห์แห่งความงามไม่เปลี่ยนแปลง
เที่ยวชมเกาะแก่งไป
เพลินเหมือนได้เที่ยวในสวรรค์ ชวนใจรักผูกพัน
สัญญาว่าจะรักมั่น เหมือนวันเที่ยวแก่งสะพือ
.....
“พอแพง”