ภาวิณีย์ เจริญยิ่ง
พิธีสาร R3 ดันส่งออกผลไม้ไทยสดใส
คนจีนชอบเล็งขยายเส้นทางอื่น
ในชีวิตประจำวันของคนไทยทุกวันนี้ ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเราๆท่านๆต้องบริโภคอุปโภคสินค้าที่มาจากประเทศจีนไม่มากก็น้อย โดยเฉพาะที่เห็นกันจนชินตาก็คือผักผลไม้จากแดนมังกร ขณะที่ผลไม้ไทยก็ส่งไปขายที่นั่นเช่นกัน
เดิมนั้นประเทศไทยส่งออกผลไม้ไปจีนโดยทางเรือ โดยบรรจุผลไม้ในตู้คอนเทนเนอร์จากโรงคัดบรรจุเช่นที่ จันทบุรี ชุมพร และเชียงใหม่ แล้วลากไปส่งออกที่ท่าเรือแหลมฉบังหรือท่าเรือ คลองเตย ใช้เวลา 5-7 วันที่จะขนไปขึ้นท่าเรือกวางโจว และเข้าไปตลาดขายส่งผลไม้เจียงหนาน เมืองกวางโจวและผลไม้จะถูกกระจายไป อีกเส้นทางหนึ่งคือการขนส่งทางอากาศจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ
ส่วนการขนส่งทางบกมีการส่งออกผลไม้จากบ้านเราไปประเทศลาว และส่งต่อไปยังจีน โดยเป็นการค้าชายแดนคือ สินค้าต้องมีการถ่ายลำเปลี่ยนยานพาหนะขนส่งที่ลาว แล้วถึงจะขนสินค้าข้ามแดนเข้าจีนได้ ทำให้ผลไม้เสียหายง่ายและเสียเวลาในการขนถ่ายสินค้า
000ไทย-จีนได้ประโยชน์จากพิธีสาร
กระทั่งเมื่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้ร่วมลงนามในพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามระหว่างประเทศไทยและจีน(พิธีสารเส้นทาง R3) กับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงควบคุมคุณภาพและตรวจสอบกักกันโรคแห่งสาธารณรัฐประชาชนจีน ( AQSIQ) ในวันที่ 21 เมษายนที่ผ่านมา และในทางปฏิบัติได้เริมดำเนินการตั้งแต่วันที่ 1 มิถุนายน 2554 ทำให้ไทยสามารถส่งออกผลไม้ไปจีนที่ด่านโมห่าน ซึ่งเป็นด่านนำเข้าของประเทศจีนทางมณฑลยูนาน โดยใช้เวลาไปเมืองคุนหมิง 3 วัน ระยะทาง
พิธีสารดังกล่าวส่งผลให้ไทยและจีนส่งออกและนำเข้าผลไม้ได้ตามที่กำหนด เป็นการร่นระยะเวลาในการขนส่งให้เร็วขึ้น เพราะสามารถใช้ตู้คอนเทนเนอร์จากเมืองไทยเข้าลาวไปยังจีนได้เลย โดยไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายยานพาหนะ ทำให้ผลไม้มีความสดใหม่มีคุณภาพ ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ทางกรมวิชาการเกษตรได้นำผู้สื่อข่าวไปเยี่ยมชมระบบการขนส่งทางบกจากท่าเรือเชียงแสนผ่านประเทศลาว เข้าด่านโมห่านของจีน ผ่านไปยังสิบสองปันนา ไปถึงคุนหมิง เมืองเอกของมณฑลยูนนาน และกระจายไปยังเมืองต่างๆ
000ผลไม้ไทยเข้าจีนได้23ชนิด
คุณ
คุณอรทัยเล่าว่า การส่งออกผลไม้ไปจีนมี 2 เส้นทางคือเส้นทาง R9 และเส้นทาง R3 ในส่วนเส้นทาง R9 ไทยทำพิธีสารตั้งแต่ปี 2552 เริ่มตั้งแต่ด่านมุกดาหาร ผ่านลาว เข้าจีนที่ด่านผิงเสียง เขตปกครองพิเศษมณฑลกวางสี ซึ่งจากกวางสีจะไปกวางโจวไม่ไกล ปกติสินค้าที่ส่งออกหรือนำเข้าทางทะเลจะเข้าทางโน้นสะดวกกว่า ใช้เวลา 5 – 6 วัน แต่ถ้าเป็นเส้นทางบกเส้นทาง R9 จะใกล้กว่า ใช้เวลา 3 วัน
ปัจจุบันมีการส่งออกตามระบบสากลมากขึ้นหลังจากที่ได้มีการทำพิธีสาร ไทยสามารถนำตู้คอนเทนเนอร์มาที่ชายแดนจีนได้เลย หลังจากที่เจ้าหน้าที่เปิดตรวจแล้วก็สามารถกระจายไปได้ทั่วประเทศจีน โดยตลาดหลักอยู่ที่กวางโจว ซึ่งผลไม้ที่นำเข้าทั้งของไทยและจีนต้องผ่านการตรวจและมีใบรับรองสุขอนามัยพืช (Phytosanitary certificate ) กำกับไปด้วยและต้องมี การ seal ตู้
วันที่คณะผู้สื่อข่าวไปนั้น เริ่มดูกระบวนการตั้งแต่ตู้คอนเทนเนอร์อยู่ที่ด่านเชียงแสน เมื่อผ่านกรรมวิธีการตรวจจากศุลกากรเสร็จแล้วก็เข้ามายังฝั่งลาวที่ด่านบ่อเต็น มุ่งตรงไปที่ด่านโมห่านของจีน ซึ่งจุดนั้นก็มีด่านตรวจ พอโชว์เอกสารการนำเข้าเรียบร้อยแล้วก็สามารถนำตู้ผลไม้เข้าเมืองจีนได้เลย
ใครที่เคยไปเส้นทาง R3นี้แล้ว จะรู้ว่าค่อนข้างสะดวก เป็นเส้นทางลาดยางอย่างดี โดยเฉพาะถนนจากด่านโมห่านไปยังเมืองเชียงรุ่ง สิบสองปันนานั้น เรียกว่าไม่มีส่วนไหนเป็นหลุมเป็นบ่อเหมือนถนนบ้านเราสักนิด หลายคนตื่นตาตื่นใจกับการลอดอุโมงค์ลูกแล้วลูกเล่า
พอมาถึงเมืองเชียงรุ่ง หรือที่คนไทยคุ้นในชื่อเชียงรุ้ง คณะได้ไปดูการค้าขายผลไม้ไทยที่ตลาด เห็นผลไม้ไทยหลายชนิดไม่ว่าจะเป็นเงาะ มังคุดและทุเรียน ซึ่งเป็นที่นิยมของคนจีน
000ขนส่งทางเรือค่าใช้จ่ายสูง
คุณอรทัยบอกว่า สาเหตุหนึ่งที่ผู้ส่งออกไทยต้องการใฃ้เส้นทางสายนี้เนื่องจากว่าถ้าส่งออกทางเรือจะมีการแย่งตู้กัน ปกติในหน้าผลไม้ตู้คอนเทนเนอร์ที่ส่งออกทางแหลมฉบังไปกวางโจวเสียค่าใช้จ่าย 1,000 เหรียญสหรัฐ แต่บางวันราคาจะขึ้นไปเป็น 3,000 เหรียญ และอาจจะจองตู้ได้บ้างไม่ได้บ้าง ดังนั้นเส้นทางบกจึงเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง แต่ทั้งนี้ระบบโลจิสติกส์จะต้องดีกว่านี้ ซึ่งจะทำให้การส่งออกสะดวกมากขึ้น
ปัจจุบันสินค้าที่ใช้เส้นทางไปด่านผิงเสียงมีไม่มากนัก เนื่องจากว่าเมื่อส่งออกไปเวียดนามแล้วเวียดนามไปค้าต่ออีกต่อหนึ่ง นอกจากนี้บางจุดทางจีนยังอนุญาตให้มีการค้าชายแดนระหว่างเวียดนามและจีนโดยไม่ต้องเสียภาษี ซึ่งจะมีข้อเสียคือมีพ่อค้าคนกลางเพิ่มขึ้น แต่ข้อดีคือเป็นการเปิดช่องทางนำเข้า และเส้นทางนี้ค่อนข้างดีเพราะจีนได้ตัดถนนเพิ่มอีกหลายเส้นทาง ซึ่งสามารถไปทางจีนตะวันตกได้ เข่นไป เฉินตู ไปซีอาน
อย่างไรก็ตามผู้ส่งออกก็ต้องเปรียบเทียบว่าเส้นทางไหนเสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่า และสินค้าสามารถไปได้โดยที่ยังมีคุณภาพที่ดีอยู่
Oooเล็งทำพิธีสารเส้นทางสายอื่น
ทั้งนี้หลังจากทำพิธีสารเปิดเส้นทาง R3 เสร็จแล้ว ฝ่ายไทยจะประเมินร่วมกับจีนว่าเส้นทางนี้มีความพร้อมแค่ไหน ควรจะเปิดอีกหรือไม่ โดยจีนต้องการให้ไทยเปิดเส้นทางน้ำโดยออกจากท่าเรือเชียงแสนแล้วไปขึ้นที่ท่าเรือกวนเหล่ย ซึ่งกำลังปรับปรุงขยายใหญ่ขึ้นเพื่อให้สามารถรับสินค้าทางน้ำได้ถึง 300,000 ตันต่อปี จะแล้วเสร็จภายในสิ้นปีนี้ ขณะที่ไทยกำลังสร้างท่าเรือแห่งที่ 2 ของเชียงแสนอยู่ แต่ข้อจำกัดคือเรือที่วิ่งในแม่น้ำโขงจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อหน้าน้ำเท่านั้น
ปัจจุบันสินค้าที่ขนจากเมืองไทยไปยังด่านบ่อเต็นยังต้องใช้แพอยู่ เมื่อการสร้างสะพานที่เชียงของเสร็จในสิ้นปีหน้า รถก็สามารถวิ่งข้ามสะพานได้เลย
ในส่วนของผลไม้นำเข้านั้น ใช่แต่จะมีเมืองไทยเท่านั้นที่ส่งไป ยังมีประเทศอื่นๆส่งไปด้วย อย่างเช่นพม่าส่งมะม่วงปากนก ประเด็นนี้คุณอรทัยแจกแจงว่า
“ผลไม้จากเมืองไทยไปจีนจะไม่เหมือนกับผลไม้จากประเทศอื่นเพราะเราเป็นผลไม้เมืองร้อนซึ่งไม่มีประเทศไหนส่งเข้า อินโดนีเซียก็มีมังคุดนิดหน่อย ทุเรียนเขาก็ไม่มีคุณภาพ มาเลเซียที่ทำสัญญาว่าจะส่งทุเรียนให้ 300,000 ตัน คุณภาพก็ไม่ได้ ซึ่งผิดกับของเรา ผลไม้ที่ส่งไปจีนอย่างที่กวางโจว มีทั้งจากอเมริกาและอีกหลายประเทศที่เป็นผลไม้เมืองหนาวซึ่งจีนเองก็สามารถผลิตได้ แต่ของเราไม่ใช่โดยเฉพาะลำไยจีน ถ้าเราสามารถปรับปรุงเรื่องการขนส่งและสามารถเจาะตลาด เราคงสามารถป้อนผลไม้ให้จีนเท่าไรก็คงไม่พอ”
สำหรับราคาผลไม้ในปีนี้ คุณอรทัยบอกว่า ค่อนข้างแพง โดยในต้นฤดูมังคุดจากจันทบุรีส่งออกให้จีนเกือบทั้งหมด รับซื้อกิโลละ 100 กว่าบาท บางวันลดลงมาเหลือ 90 กว่าบาท
ที่ผ่านมาการส่งผลไม้ไทยไปจีน ไม่มีปัญหาอะไร เช่น ลำไยอบแห้งทางจีนก็ยอมให้มีกำมะถันตกค้างในเปลือกได้ตามที่กำหนด ซึ่งหน่วยงานที่ตรวจเกี่ยวกับสารตกค้างของไทยขึ้นอยู่กับกระทรวงสาธารณสุข ในขณะที่ทางจีนตั้งเป็นกระทรวงควบคุมคุณภาพและตรวจสอบ เป็นหน่วยงานที่ทำหน้าที่โดยเฉพาะ
000คนจีนชอบผลไม้ไทยแม้จะแพง
คุณอรทัยย้ำให้เห็นว่า การทำพิธีสารระหว่างไทยกับจีนเป็นผลดีต่อเกษตรกรในเรื่องของผลไม้ เพราะปัจจุบันคนจีนมีกำลังซื้อสูงขึ้น โดยเฉพาะผลไม้จากต่างประเทศที่ไม่มีในเมืองเขาก็ยิ่งอยากกิน อย่างที่ศูนย์สมุนไพรในสิบสองปันนา จะระบุว่าทุเรียนก็เป็นยา มังคุดก็เป็นยา แต่ต้องกินให้ถูกวิธี ซึ่งหากทางการจีนโฆษณามากเท่าไรก็น่าจะดีกับประเทศไทยเพราะมีประชากรถึงพันกว่าล้าน
ในวันที่คณะผู้สื่อข่าวไปดูการซื้อขายผลไม้ที่ตลาดขายส่งในคุนหมิงนั้น เห็นผลไม้ไทยเต็มไปหมด และอยู่ในสภาพสดมากไม่ว่าจะเป็นเงาะ ทุเรียน มังคุด ส้มโอ มะขาม ผลไม้จากประเทศอื่นก็มีอย่างเช่นมะม่วงปากนกจากพม่า หรือองุ่นจากสหรัฐอเมริกา
จากการสอบถามพ่อค้าจีนที่นำเข้าผลไม้ไทยระบุว่า คนจีนชอบผลไม้ไทยมาก เพราะแม้ผลไม้บางอย่างจะนำเข้าจากหลายประเทศอย่างเช่น มะม่วงแต่ก็สู้มะม่วงของไทยไม่ได้ ทั้งในเรื่องรสชาติและการบรรจุหีบห่อ และแม้ราคาจะแพงกว่าแต่คนจีนก็ชอบซื้อ
000ผลไม้จีนส่งมาทำอบแห้งในไทย
นอกจากผลไม้ไทยจะเป็นที่นิยมของคนจีนแล้ว นักวิชาการเกษตรท่านนี้ยังมองว่า ผู้ส่งออกที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการแปรรูปสินค้าการเกษตรของไทยก็มีอนาคต เพราะมีการผลิตส่งออกจำนวนมาก อย่างเช่น ทุเรียนอบกรอบ หรือกีวี โดยทางจีนจะส่งกีวีสดแล้วไปทำอบแห้งที่เมืองไทยจากนั้นส่งกลับมาขายที่เมืองจีน ขนุนก็เหมือนกัน คนจีนชอบกินขนุน โดยไทยส่งออกทั้งสดและอบแห้งมาที่เมืองจีน เนื่องจากผู้ประกอบการไทยเชี่ยวชาญเรื่องการทำอบแห้ง มีการพัฒนาไปไกลมาก ทำให้ผลไม้อบแห้งของไทยมีชื่อเสียงมาก และส่งออกไปขายในหลายประเทศ
ฟังอย่างนี้ก็ชื่นใจแทนเกษตรกรบ้านเรา ซึ่งถ้าตลาดเมืองจีนต้อนรับดี อนาคตผลไม้ไทยย่อมสดใสแน่นอน และยิ่งมีเส้นทางการขนส่งที่สะดวกรวดเร็วแบบนี้ คนจีนในฐานะลุกค้ารายใหญ่ก็ยิ่งได้รับประทานผลไม้ที่สดและใหม่