กระเหรี่ยงบ้านไม้ดำ แต่ใจไม่ดำ
โดย ออมสิน-เข็มชาติ เรื่อง-ภาพ
ดอยอินทนนท์ดีกว่า....เมืองปายดีกว่า....เชียงใหม่ดีกว่า น้ำหนาวดีกว่า เสียงเพื่อนๆต่างหารือกัน มติการท่องเที่ยวของวันหยุดยาว แล้วทันใดนั้นทุกคนก็ถามผมว่าไปใหนดี ผมตอบว่ายังไม่รู้เลย(แต่ในความจริงแล้วไม่กล้าที่จะบอกกลัวโดนหาว่าบ้า) ขอคิดดูก่อน
แต่ในความเป็นจริงแล้วผมมีการเตรียมการไว้แล้วเป็นอย่างดี
ส่วนตัวผมแล้วชอบการท่องเที่ยวเป็นชีวิตจิตใจ ซึ่งจะเป็นการเที่ยวที่ไม่เหมือนใครเขานัก เรียกได้ว่าถ้าไม่โหดไม่ลำบาก ก็ไม่ต้องมาชวนกัน
จุดเริ่มต้นของการแสวงหาแหล่งท่องเที่ยวแบบมันส์ๆ ก็คือความเป็นคนช่างสงสัยของผมเองว่า ในแผนที่ประเทศไทยของเรานั้นจะระบุจุดท่องเที่ยวไว้มากมาย (ถ้าเป็นไปได้ลองหามากางดูเลยครับ) ถนนบางเส้นที่เป็นลูกรัง มันวิ่งเข้าไปตีนเขาบ้างหรือบางเส้นก็สามารถทะลุไปชนกับเส้นหลักอีกฟากหนึ่งได้ ก็เลยได้ลองผิดลองถูกมาเรื่อย ปรากฏว่าบางเส้นทางผ่านหมู่บ้านใหญ่หลายหมู่บ้านซึ่งไม่มีบอกในแผนที่
นาขั้นบันได้ยามแล้ง และผม ออมสิน-เข็มชาติ
ในแหล่งท่องเที่ยวทั้งหมด "หมู่บ้านไม้ดำ ตำบลห้วยปูลิง จังหวัดแม่ฮ่องสอน" เป็นสถานที่ๆผมชอบที่สุด เหตุผลที่ผมชอบไปเพราะผมมีคนรู้จักที่นั้น ชื่อ นิพนธ์ (รูป พี่นิพน)ซึ่งเขาเคยช่วยเหลือผมตอนผมไปเมื่อ6ปีที่แล้ว หุงหาอาหารให้รับประทานเป็นอย่างดีและต้อนรับผมด้วยประเพณีพื้นบ้านอย่างน่าประทับใจ จึงเป็นความประทับใจหนึ่งในที่ทำให้ผมสัญญากับตัวเองไว้ว่าต้องกลับไปเยือนอีกให้จงได้
พี่นิพนธิ์ เจ้าบ้าน
ตำแหน่งที่ตั้งก็ไม่ห่างจากอำเภอปายมากครับ (แผนที่)ใช้เส้นทางเลี้ยวซ้ายเข้าบ้านวัดจันทร์(ก่อนถึงอำเภอปายประมาณ
นาขั้นบันได ข้าวเขียวขจี
ลักษณะทางภูมิศาสตร์ก็ไม่ต้องบรรยาย เทือกเขาสลับซับซ้อน ตั้งอยู่บนความสูงที่แสดงบนเครื่อง GPS ว่า สูง 1,086 จากระดับน้ำทะเล ด้วยระดับความสูงขนาดนี้จึงทำให้สภาวะแวดล้อมไม่ว่าจะเป็นต้นไม้ใบหญ้า สภาพภูมิอากาศ ผู้คน ดูน่าสนใจโดยปริยาย เหมือนเราได้หลุดมาอีกโลกหนึ่งที่มีป่าไม้เทือกเขาลำเนาไพรคอยกางกั้นความวุ่นวายที่กำลังเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้าในช่วงวันหยุดยาวของใครหลายๆคน
จึงถือว่าเป็นของขวัญอีกชิ้นสำหรับผู้ที่มีความพยายามเดินทางเข้าไปในป่าลึก
บนบ้านนอนได้หลายคน
ในขณะที่ผมเดินในหมู่บ้าน ผมสามารถสัมผัสได้ถึงมนเสน์ของหมู่บ้านไม้ดำ ไม่ว่าจะเป็นการแต่งกายของผู้คน บางบ้านยังแต่งชุดที่ถักทอขึ้นใช้เองในหมู่บ้าน เพื่อใช้กันเอง ดูแล้วเข้ากับบรรยากาศของหมู่บ้านชาวเขายิ่งนักเชียว สีสันหลายสี แต่ละสีมีความหมายต่างกันออกไปผมไม่แน่ใจนักว่าจะหมายถึงอะไร แต่ที่แน่ๆ ชุดสีขาวคือชุดสาวที่ยังไม่แต่งงาน(เชวา)
ชุดขาว เชวาตัวสาวโสด
ผมถามพี่นิพนธ์ว่า ที่นี่เขาจะไปขอแต่งงานต้องทำอย่างไร พี่นิพนธิ์ทำหน้างงๆ ส่วนผมรอฟังคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ
พี่นิพนธ์ บอกว่าไม่ยากเลย แค่ให้ผู้หญิงมาขอเท่านั้นเอง
พอเราฟังเสร็จก็เลยสรุปได้เลยว่ายากกว่าไปขอเยอะ ฮ่าฮ่า (รูปแต่งกาย)
บ้านเรือนที่อยู่อาศัยทั้งหมดในหมู่บ้านใช้ไม้ในการก่อสร้างโดยยกสูงจากพื้นประมาณ 2 เมตร ตัวเสาใช้เป็นไม้เนื้อแข็ง (ตามประสาคนช่างเดา) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 8 นิ้วใช้อย่างมากก็ไม่เกิน 12 ต้น แค่นั้น และบ้านแต่ละหลังสร้างขนาดไม่ใหญ่สร้างแบบพอนั่งกินข้าวผิงไฟได้ มีห้องนอนแบบนอนเรียงๆกัน 4-5 คนต่อหลัง (รูปบ้าน นอก กับใน)
ครกกระเดื่องและแร้วดักหนู
ไม่เหมือนบ้านแถวจังหวัดแพร่หรือจังหวัดน่านและอีกหลายๆแห่งที่เอาเสาขนาด2-3คนโอบมาทำเสาบ้าน สรุปแล้วคือไม่มีพื้นที่ใช้สอยใต้ถุนบ้าน และสร้างบ้านเรือนเพื่ออวดความร่ำรวยความมั่งมีโดยใช้ทรัพยากรณ์ธรรมชาติเป็นเครื่องชี้วัด นับว่าเป็นค่านิยมที่ขัดแย้งกับกระแสการอนุรักษ์ทรัพยากรณ์ในปัจุบัน
รับอรุณ
การใช้ชีวิตประจำวัน ในหมู่บ้านนี้มีการดำรงชิวิตที่เรียบง่ายไม่วุ่นวายซับซ้อน ส่วนใหญ่ไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิงก็ช่วยกันทำนาทำไร่ตามความเหมาะสม ที่เห็นได้ชัดเจนก็จะเป็นการทำนาตามที่ลุ่มเล็กๆน้อยๆหรือถ้าความชันมีไม่มากก็จะเป็นการทำนาแบบขั้นบันไดเรียงกันสวยงามมากๆทีเดียว หรือไม่ก็เพาะปลูกพืชไร่บางส่วน บ้างก็ปลูกกาแฟหรือไม่ก็ปลูกหม่อน ใบชา ที่นั้นเขาปลูกชาไว้ชงกินเอง ผมได้ลองชิมแล้วรสชาติหอมอร่อยขมลิ้นหวานคอบอกไม่ถูก
ความน่ารักของเด็กๆชาวปกาเกอญอ
น้ำใจซึ่งเห็นได้จากการแลกเปลี่ยนของกินของใช้ที่ตนสามารถหามาได้ตามธรรมชาติ ทำให้เกิดความสามัคคีขึ้นโดยธรรมชาติ ทุกคนต่างรู้รับผิดชอบส่วนของตน ไม่เอาเปรียบซึ่งกันและกัน ทำให้เราในฐานะแขกบ้านแขกเมืองเกิดความเลื่อมใสในน้ำใจของชาวบ้านที่นั้นไปตามๆกัน แต่ก็ไม่ถึงกับน้ำตาจะหยด นี่แหละครับ น้ำใสใจจริงของคนบ้านป่าเมืองดอย ซึ้ง ซึ้งจริงๆ
ภาพนี้ มุมกล้องแปลกตา เด็กน้อยน่ารัก
ภาพนี้สวยงามมากๆ
ถักทอด้วยฝีมือ