ตอนที่ 11 ไฟท์บังคับ
มวยโลกสถาบันไหน แชมป์เปี้ยนมีสิทธิเลือกคู่ชกได้ไม่จำกัด ยกเว้นครั้งเดียวในชีวิตที่เขาต้องชกตามกฎกติกาสภามวยนั้นๆ เรียกกันในภาษาหมัดมวยว่าเป็นไฟท์บังคับ จำเป็นต้องชกกับคู่ชกที่เลือกไม่ได้ แต่เป็นมวยรองอันดับหนึ่งที่แข็งแกร่งและค่อนข้างอันตรายมาก ถือกันว่าถ้าพลาดคือหลุดแชมป์ไปทันที ยังไม่ทันได้ถอนทุนจากการทุ่มเทในการชิงแชมป์มาก็อาจเสียไปง่ายๆ ดังนั้น ในวงการหมัดมวยจึงให้โอกาสแก่แชมป์และคณะที่ร่วมลงทุนกับนักมวยของตนเอง
ไปท่องเที่ยวในเมืองจีนแผ่นดินใหญ่ก็เช่นกัน คุณจะจัดรายการนำเที่ยวไปที่ไหนๆ ในแผ่นดินนี้ได้ทั้งหมด จะไปจนทั่วแผ่นดินเลยก็ได้ แต่มีกติกาสากลให้เลือกใช้ไกด์จีนทันทีที่เหยียบย่างเข้าประเทศของเขา เรื่องนี้ยังไม่เข้าข่ายไฟท์บังคับ เพราะเป็นการปฏิบัติกับทุกทัวร์ แต่รายการนำเที่ยวทุกรายการจะมีแสดงไว้ในเอกสารแจก เพื่อจูงใจให้เกิดความอยากจะไป ไปแล้วได้รู้เรื่องพอสมควรก่อน และเพิ่มเติมรายละเอียดได้จากไกด์จีนที่ติดตามตลอดทาง
ไฟท์บังคับที่ว่านี้ซี ไม่ไปก็ได้แต่ไกด์จีนเดือดร้อนแน่นอน มันเหมือนดาบอาญาสิทธิ์ที่ประหารคอคุณโจวไกด์หนุ่มของเราทันที เป็นข้อตกลงลับๆ ที่มีการลงนามทุกครั้งที่ต้องนำเที่ยว เพื่อแสดงว่าได้มาแล้วจริงตามวันเวลาเหล่านั้น การเดินไปตามรายการทัวร์จึงเกิดเหตุการณ์ที่ทีแรกก็งงๆ แต่ต่อมาเข้าใจและขอบคุณที่คุณโจวปฏิบัติตามกฎเหล็กของประเทศอย่างดียิ่ง ดีทั้งจีนดีทั้งนักท่องเที่ยวครับ
“วันนี้ ท่องเที่ยวกันมาสนุกไหมครับ เหนื่อยไหมครับ?” คุณโจวถาม พร้อมกับยิ้มแย้มแจ่มใส
“สนุกครับ แล้วก็เหนื่อยครับ” คนหนึ่งเป็นตัวแทนตอบเพื่อรักษาไมตรี
“ยังมีเวลาว่างอยู่ก่อนเวลารับประทานอาหารค่ำ ราวๆ ชั่วโมงกว่าๆ ถ้าผมจะเสนอให้ชื่นชมบางรายการที่ดีที่สุดในเมืองจีนอีกอย่าง เหมือนรายการแถมนะ แต่เมื่อไปถึงแล้วจะมีใครสนใจมากน้อยแค่ไหนก็แล้วแต่ สถาบันนี้ได้รับความสนับสนุนจากรัฐบาลจีนโดยตรงทีเดียว ไม่ดีจริงรัฐบาลไม่รับรองขนาดนี้” คุณโจวร่ายยาว พวกเรายังงง จึงเงียบรอคำอธิบายต่อ
“สถาบันนี้เรียกว่า สถาบันที่ปรึกษาการรักษาสุขภาพอนามัยแห่งนครปักกิ่ง ครับ” คุณโจวยังโจ้ต่อไปว่า “เรียกกันง่ายๆ ว่าหมอแมะ” คราวนี้มีเสียงร้องรับว่ารู้จักบ้างสำหรับครอบครัวเราเงียบ
“สถาบันนี้สังกัดมหาวิทยาลัยแพทย์ศาสตร์โส่วตู ยึดหลัก ช่วยให้มีสุขภาพแข็งแรง อายุยืนนาน ป้องกันโรคและรักษาโรค ยาที่ใช้เป็นยาจีน แพทย์ที่รักษาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการตรวจชีพจร หรือแมะนิ้วที่ข้อมือแค่นั้นก็สามารถตรวจว่าคุณเป็นโรคอะไร แก้ไขได้ด้วยตำรับยาขนานใด” คุณโจวสาธยายต่อ แล้วเชิญพวกเราลงรถเข้าห้องฟังการบรรยายสรุปอีกครั้ง
คุณสมพงษ์ แซ่บ่าง คนไทยจากบางกอกน้อย แนะนำตนเอง แล้วทำหน้าที่อธิบายความหมายต่างๆของยาจีน ตามที่แพทย์แมะของจีนทำการตรวจชีพจรพวกเราหลายสิบคน
แม่บ้านผมรอคิวแล้วก็เสนอตัวเข้านั่งให้ตรวจทันที หมอแมะแต่งตัวด้วยเสื้อกาวสีขาวสะอาดตา ท่าทางน่าเชื่อถือ ส่วนใหญ่ผิวขาวเหลืองและหน้าตาดี การจับชีพจรใช้สองนิ้ววางที่ชีพจรข้อมือ แม่บ้านผมหงายฝ่ามือรอ ทันใด หมอแมะก็อธิบายถึงปัญหาสุขภาพของแม่บ้านผมเป็นฉากๆ คุณสมพงษ์แปล ได้ความว่า
“คุณเป็นปัญหาเกี่ยวกับไตไม่ค่อยดี แล้วก็ความดันโลหิตสูง ถ้าจะรักษาต้องใช้ยาขนานที่ 1 ยาเม็ดเซินทรงจ้วงหยางหวัน (ยาเม็ดเพิ่มพลังหยาง) เป็นยาบำรุงไต เพิ่มพลังหยาง ช่วยให้มีอายุวัฒนะ สรรพคุณ รักษาอาการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ ไม่มีอารมณ์ทางเพศ สุขภาพอ่อนแอ แต่งงานแล้วไม่มีลูก อาการกามตายด้าน ฝันเปียก มีสรรพคุณพิเศษในการรักษาอาการปวดเศียรเวียนเกล้า ตาลาย หูอื้อ เมื่อยเอว เข่าอ่อน อ่อนเพลีย สีหน้าซีดเซียว ปัสสาวะไม่สุด”
“รับประทานยานี้เป็นประจำจะช่วยบำรุงไต เสริมความแข็งแรงให้กับเอ็นและกระดูก เสริมสุขภาพให้แข็งแรง ช่วยให้มีอายุยืนนาน ส่วนวิธีรับประทานครั้งละ 10 เม็ด วันละ 2 ครั้ง ทานกับน้ำอุ่น ตำรับนี้สมควรกินติดต่อกัน 2 ขวด ขวดละ 500 หยวน”
แม่บ้านแอบมากระซิบว่า เขาตรวจถูกโรคจริงๆ แต่ไม่ซื้อยาหรอกเพราะว่ามียารักษาประจำอยู่แล้ว เป็นยาแผนปัจจุบัน ส่วนเพื่อนร่วมทัวร์ขนซื้อกลับกันมาตามความเชื่อและมีความหวัง แม้แต่อาอี๊ก็เอากับเขาด้วย เรียกว่าเหลืออยู่เพียงไม่กี่รายเท่านั้นที่ไม่ได้สนับสนุน เป็นอันว่าวันนั้นก่อนรับประทานอาหาร ทุกคนมียาพร้อมบำรุงทันที นี่แหละครับ หมอแมะที่เขารักษากันมากว่า 3,700 ปี นี่ก็เป็นหนึ่งในหลายอย่างที่มหัศจรรย์ของประเทศจีน
ในแต่ละวันต่อๆ มา ก็มีรายการเสริมเช่นนี้ทุกวัน แต่ละแห่งที่ไปน่าเชื่อถือ เพราะว่ารัฐบาลรับรอง เสนอการขายโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐบาล เงินเข้ารัฐบาล หรือบางทีก็ร่วมลงทุนระหว่างรัฐบาลกับเอกชน เป็นความร่วมมือที่สร้างกระบวนการเชื่อถือให้มั่นคง คุณภาพของสินค้าจึงได้รับการประกันว่าจะไม่เกิดเหตุการณ์เหมือนร้านค้าเพชรที่เมืองไทย เคยมีเอกชนทำความเสียหายระดับประเทศมาแล้ว
“วันนี้มีเวลาเหลือ แล้วแถวๆ นี้ใกล้ๆ กับร้านค้าอาหารที่จะรับประทานค่ำนี้ มีสถานที่น่าสนใจมาก ดังที่รู้ๆ กันอยู่ว่า ประเทศจีนนั้นเชื่อถือเรื่องหยกมากแค่ไหน ตราพระราชลัลจกรประจำองค์จักรพรรดิ์ ก็ใช้หยกเป็นตัวสร้างความศักดิ์สิทธิ์ และถือกันว่า เป็นเครื่องหมายของการอยู่เย็นเป็นสุข มีอนามัยดี และนำความสุขความเจริญเข้ามาสู่ตัวผู้สวมใส่หรือบ้านเรือนที่ตั้ง” คุณโจวบรรยายสรรพคุณอีกตามเคย แต่พวกเราเหล่าจีนโพ้นทะเลมีความเชื่ออยู่แล้ว พอเอามะพร้าวห้าวมาขายสวน คุณโจวได้ลูกค้าเต็มรถทันที รถจอดสนิทก็รู้หน้าที่ ทุกคนลง รถถูกขับย้ายไปอีกทิศหนึ่งตามระเบียบ
ในร้านค้าหยกมีการจัดแสดงวิธีการแกะสลัก และตกแต่งหยกให้เห็น ทั้งชิ้นเล็กชิ้นใหญ่ เรียกว่าตั้งแต่หัวแหวนยันเครื่องเรือนประเภทภาพแกะหยกติดผนัง หรือโต๊ะเก้าอี้รับแขก หรือฉากกั้นสายตา ทุกอย่างทำจากหยก อาจมีสีขาว สีเขียวหยก หรือสีดำ น้ำตาลปนขาวลายๆ ฯลฯ ถ้าเป็นลูกค้าฝั่งหัวแดงก็จะมีเด็กสาวๆ อธิบายเป็นภาษาอังกฤษ ถ้าเป็นชาวเอเซียก็จะปล่อยให้เข้าไปเลือกซื้อได้เลย ไม่ต้องอธิบายมาก เพราะว่ารู้จักและเชื่อถืออยู่แล้ว ขึ้นอยู่กับว่า เงินน่ะมีพอไหม
“พี่ หยกที่นี่น่ะของดีมีคุณภาพนะ เชื่อถือได้เลย เห็นพี่ได้แต่เดินดูๆ แค่นั้น” คุณสิทธิชัยเพื่อร่วมทัวร์ถามผมขณะเดินออกจะไปขึ้นรถด้วยกัน
“ผมดูได้แค่นั้นแหละครับ เรื่องเครื่องประดับนี่ไม่นิยมกันมาแต่อ้อนแต่ออกแล้ว” พร้อมกับแกว่งมือให้เห็นจะจะ
“แต่เอ เขาว่าบางทีก็ปลอมเหมือนกันใช่ไหมครับ” ผมถามหาความรู้
“ที่นี่คงไม่มี แต่ที่เมืองไทยหรือเขมรหรือลาวหรือพม่า ไม่แน่ หยกเผาก็มี หยกฉีดสีก็มีอีก เหมือนทับทิมหรือพลอย ตาไม่ถึงจริงเสร็จครับ” คุณสิทธิชัยอธิบายคล้ายมีความรอบรู้
“ขอโทษ คุณสิทธิชัยดูเหมือนมีความรู้เรื่องเครื่องประดับ ประกอบอาชีพทางด้านนี้หรือครับ?” ลางสังหรณ์ผมถูกเผง คุณสิทธิชัยค้าเจเวลลี่
“เดี๋ยวนี้ แม้เพชรยังปลอมจนตรวจด้วยเครื่องตรวจไม่ได้ความจริง ทำปลอมมาจนเครื่องมันตอบว่าจริง แต่ที่แท้ปลอม พอมาเจออย่างนี้เข้าเล่นเอาย่ำแย่ไม่น้อยครับ ต้องอาศัยความสามารถเฉพาะตัวที่พิเศษจริงๆ ไม่งั้นเสียค่าวิชาแน่นอน” คุณสิทธิชัยบอกเล่าเหตุการณ์ใหม่ๆ เพิ่มเติม
“ถ้าวันไหนพี่มีเรื่องต้องให้ช่วยเหลือ โทรไปหาผมนะ” คุณสิทธิชัยปวารณาตัว แต่มาคิดๆดู ผมเองก็เคยซื้อเพชรเป็นแหวนวงเดียวแค่นั้น ปัจจุบันก็อายุกว่า 50 ปีไปหลายปีแล้ว ยังจะมีโอกาสซื้อไปทำอะไรอีกหรือ ครั้นจะซื้อให้ลูกชาย คนสมัยนี้ก็อาจบอกว่าแค่เกี่ยวก้อยกันไปก็พอแล้ว เรื่องพวกนี้อาจเป็นของนอกกายไม่มีความหมายสำหรับพวกเขาก็ได้
“ขอบคุณครับ ถ้ามีโอกาส” ผมตอบ
อีกหลายวันต่อๆมา มีรายการไฟท์บังคับนอกเหนือรายการนำเที่ยวทั่วไปอีก เช่นแวะไปชมวิธีการทำเครื่องกังไส จำพวก แจกัน เครื่องลายคราม โคมไฟ แหวน สร้อยข้อมือ ปากกา จากเล็กสุดๆ จนถึงใหญ่ขนาดแม่บ้านผมถ่ายรูปกับแจกันแล้วหุ่นดีขึ้นจมเลยแหละครับ
“เครื่องกังไสพวกนี้ ใช้เฉพาะกษัตริย์เท่านั้น สามัญชนใช้ไม่ได้ ในปราสาทราชวังล้วนใช้แต่เครื่องกังไสแต่งลายสวยงามเหล่านี้ ปัจจุบันนี้ สามัญชนใช้ได้แล้วๆ ก็ถือกันว่าสิ่งของประเภทใดที่กษัตริย์เคยใช้ หากมีบุญได้นำเข้าบ้านเรือนถือว่าจะเป็นสิริมงคลแก่ครอบครัว บ้านจะร่มเย็น” ฟังแล้วแทบเคลิ้ม เพราะว่าเดี๋ยวนี้ทุกอย่างที่กษัตริย์ใช้ได้กลายเป็นสัญลักษณ์ของสินค้าไป ศิลปวัฒนธรรมถูกนำขึ้นเสนอขายหมด แต่ประเพณีต่างๆ ที่เคยมีกลับสูญสิ้นแล้วครับ