http://www.thongthailand.com
  สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com 
 หน้าแรก  เว็บบอร์ด  บทความ  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  ข่าวสาร
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   Cart รายการสั่งซื้อ (0) 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 15/03/2009
ปรับปรุง 13/03/2024
สถิติผู้เข้าชม14,004,563
Page Views16,313,481
« April 2024»
SMTWTFS
 123456
78910111213
14151617181920
21222324252627
282930    
ท่องเที่ยวทั่วไทยไปทั่วโลก
ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต และความเชื่อ
รีวิว ร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ทและสปา
  foo&bed
ธรรมชาติ,สัตว์ป่าและพันธุ์พืช...มีคุณ(nature)
บทบรรณาธิการ สกู๊ฟพิเศษ และเรื่องเล่า
ข่าวสาร
http://www.thongthailand.com/index.php?mo=3&art=42365202
 

พระแม่คงคามหานที :สายน้ำที่ไหลย้อนกลับ

พระแม่คงคามหานที :สายน้ำที่ไหลย้อนกลับ

พระแม่คงคามหานที :สายน้ำที่ไหลย้อนกลับ

               ธงชัย เปาอินทร์ เรื่อง-ภาพ                                                                       

                 เมื่อดูรายการเนชั่นนอลจีโอกราฟฟี่เกี่ยวกับการปลงศพในแม่น้ำคงคา ช่างน่าอนาถใจ ยิ่งเห็นภาพตัดไปที่ปวงชนชาวอินเดียลงไปอาบน้ำ ลูบหน้า ล้างตาและดำมุดน้ำด้วยความศรัทธา เหมือนว่ากระอักกระอ่วนใจ ก็ไหนจะขี้เถ้าจากกองไฟที่เผาสดๆ ไหนจะซากศพที่ลอยละล่องไปอืดที่โน่นที ที่นี่ที เป็นภาพตัดต่อที่ไม่ได้แสดงเลยว่า แท้ที่จริงช่วงแม่น้ำคงคามหานที ณ จุดที่ไหลผ่านเมืองพาราณสี(Varanasi)นั้น เป็นช่วงที่แม่น้ำไหลกลับจากทิศใต้ไปทิศเหนือ 


                           ตะวันรอนๆ                                                   การบูชาไฟยามค่ำ

                 โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่าน้ำต่างๆ ที่ชาวอินเดียลงอาบน้ำนั้น อยู่เหนือน้ำของจุดที่เป็นท่าเผาศพ หรือปลงศพ เมื่อหว่านทิ้งซากและกระดูกลงแม่น้ำคงคา น้ำจึงพัดพาร่างอันบริสุทธิ์ผุดผ่องเหล่านั้นไหลขึ้นเหนือไปตามกระแสน้ำ สิ่งที่คิดว่าสกปรกจึงมิได้ไปพ้องพานกับการอาบ ดื่ม ล้างหน้า และสระสรงสนุกสนานกันเลยครับ


              

                 คุณวารินทร์ สัจจเดว ผู้ประกาศข่าว ทีเอ็นเอ็น (TNN) 24 ชม.ซึ่งเป็นชาวไทยเชื้อสายฮินดู ได้อธิบายให้ทราบว่า 
               "เมืองพาราณสีที่เห็นเป็นปราสาทราชวังริมฝั่งแม่น้ำคงคาเหล่านี้ เป็นของเชื้อพระวงศ์และอัครมหาเศรษฐีของชาวอินเดียมาแต่โบราณกาล คนจนไม่มีสิทธิเลย เป็นศรัทธาและความเชื่อกันมายาวนานกว่า 4,000  ปีแล้วว่า หากได้นอนรอความตายริมฝั่งมหานทีจักได้พบกับความสุขบนสรวงสวรรค์ สิ่งก่อสร้าง ท่าน้ำ ยิ่งใหญ่อลังการสุดๆของเมืองโบราณแห่งนี้กำเนิดและสืบสานมานานแสนนาน ช่วงที่แม่น้ำคงคาไหลย้อน 20 กม.ผ่านเมืองนี้แหละครับ ที่ไหลจากทิศใต้ขึ้นไปทางทิศเหนือ" 

        
                    นักท่องเที่ยวนิยมล่องเรือ                               กระทงที่ลอยกันทั้งปี

                  แหม ผมต้องเปิดโลกแม่น้ำคงคาด้วยความจริงจากปากผู้ที่รู้จริงเสียก่อน เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้เข้าใจเรื่องราวอย่างสะอาดตาสะอาดใจ ไม่รู้สึกพะอืดพะอมกับภาพที่เข้าใจผิดๆกันมาตลอด  ต่อไปนี้ผมจะเล่าเรื่องราวของเมืองพาราณสีกับแม่น้ำคงคาได้อย่างมีความสุข


                       หนุ่มบูชาไฟอารดี                                                     อาบน้ำทุกท่า

                 เมื่อพวกเราเดินทางมาถึงเมืองพาราณสี(วารานาสี) รถบัสของคณะได้วิ่งฝ่าฝูงชนและการจราจรที่สับสนวุ่นวายที่สุดในโลก ถนนหนทางสองช่องจราจรแคบไปทันทีที่รถบัสใหญ่ๆขับเคลื่อนเข้าไป รถที่วิ่งๆกันอยู่เป็นรถแท็กซี่เขียวเหลืองแบบกระป๋อง สามล้อถีบ ผู้คนที่เดินกันควักไขว่ ผสมผสานไปด้วยฝูงวัว ควาย แพะ หมูป่า และหมานานาชนิด 
                   เป็นถนนที่สรรพชีวิตเดินครับ ไม่ใช่ถนนคนเดินอย่างแหล่งท่องเที่ยวเมืองไทยในจังหวัดต่างๆนะครับ ทุกอย่างที่เห็นเป็นธรรมชาติที่ปราศจากการปรุงแต่งและสร้างเสริม มันคือชีวิตจริงของชาวพาราณสีที่ยืนยงมากว่าหลายพันปี เป็นความวุ่นวาย สับสน ท้วมท้นไปด้วยผู้คนที่มีอันจะกิน และมีกินบ้าง ไม่มีกินบ้าง 

 

                    ร้านค้าขายเต็มไปด้วยสีสันของชีวิตจริง ห้องคูหาค้าขายแต่ละห้องคับแคบ ขนาดกว้าง 1.20-2 เมตรก็มี ห้องกว้างมากๆก็ 3 เมตร จะมองหามุมไหนก็หาไม่เจอประเภทตึกแถวศูนย์การค้าโปร่งๆ แต่ละมุมเมืองจึงเป็นชุมชนแออัดยัดเยียดแน่นหนาไปด้วยผู้คน บ้างขายหมากพลู บ้างขายน้ำชา บ้างขายไม้ข่อยแปรงสีฟันราคาถูก บ้างก็ขายขนมอินเดียประเภททอด แต่จะหาร้านไหนในเมืองที่โอ่โถงเป็นหาไม่เจอ 
                      แต่นั่นแหละครับสีสันของชีวิตจริงของชาวเมืองพาราณสี รถยนต์วิ่งตรงดิ่งฝ่าเปลวแดดที่เริ่มอ่อนแรงลง จุดหมายไปที่ริมฝั่งแม่น้ำคงคา แม่น้ำที่พวกเราๆท่านๆรู้กันมาแต่ครั้งเรียนเรื่องพุทธประวัติแล้ว จากหนังสือหน้าที่พลเมืองและศีลธรรม แต่ทว่า เมืองนี้เขาเรียกชื่อกันว่า กันกา(Ganga หรือ Ganges) ไทยแผลงเป็นคงคาไปเลย

  

                          เรือพายในแม่น้ำคงคามหานที  ลอยกระทงทั้งกลางวันและกลางคืน

                      ทันทีที่รถยนต์จอดสนิท ไกด์ประหลาดเชิญให้ทุกคนลงไปสัมผัสบรรยากาศแม่น้ำคงคายามตะวันรอน แสงแดดปราศนาการไปจากปลายฟ้า แสงทึมๆแซมแสงสีส้มอ่อนๆทาบทาท้องฟ้า แต่เงามืดทึบของผู้คนที่แห่ห้อมพวกเราเมื่อเดินริมถนนอย่างหนาแน่น เสื้อผ้าที่สวมใส่มอมแมม หญิงๆมักอุ้มลูกเล็กๆเดินตาม เด็กๆ 4-11 ขวบ ห้อมล้อมแทบเดินไม่ได้ 
                      "อาจารย์ ขอตังส์ๆๆ" พร้อมกับแบมือออก เล็บและนิ้วมือดำขรึ ผิวพรรณดำเกรียมเหมือนเดินตากแดดทั้งวัน เมื่อเห็นและพินิจแล้ว ก็ไม่รู้สึกแปลกใจเลยที่พระพุทธองค์ได้ทรงเห็นแล้วเกิดความสังเวช พระองค์ได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็น ไม่เคยได้รับรู้ ไม่เคยได้สัมผัส แล้วคงจะตกดตะลึงกับภาพชีวิตที่แสนทุกข์เข็ญของมวลมนุษยชาติเฉกเช่นพระองค์ซึ่งแตกต่าง และทรงเสวยสุขดุจอยู่บนสรวงสวรรค์  

                                            

                      "ความแตกต่าง ความเลื่อมล้ำ ความอหังการของผู้ที่กำหนดชะตากรรมผู้อื่นด้วยชนชั้นวรรณะที่สูงและต่ำ แบ่งจากดำจากขาว แบ่งจากขาวจากเหลือง แบ่งจากมนุษย์ที่มีเลือดเนื้อ มีลมหายใจ มีนัยน์ตาที่มองเห็น มีอารมณ์ความรู้สึกได้ พูดสื่อสารกันรู้เรื่องได้ ได้ยินได้ฟังเสียงได้ มีหน่อเนื้อขยับขยายเผ่าพันธุ์ได้ คำถามที่ผมตั้งกับตนเอง ทำไม ก็คนเหมือนกันแท้ๆ แล้วความรู้สึกก็ไหลรื้นไปที่ดวงตา ใช่ผมแทบน้ำตาไหลหยาดหยด"

                       

                         เพียงที่เห็นและสัมผัสยังไม่ลึกพอ แต่ก็ทำให้ผมเกิดความรู้สึกได้ทันทีว่า ด้วยเหตุแห่งปัจจัยเช่นนี้กระมัง ที่พระพุทธองค์ทรงได้สติและหยุดคิดพินิจ จนพระองค์ต้องตัดสินพระทัยออกผนวช ว่ากันว่า เมื่อครั้งที่พระองค์ประสูตินั้น ได้เกิดสรรพสิ่งพร้อมกันอุบัติขึ้นเป็นเหมือนเงาและทาบทาให้พระองค์ได้ทรงไว้ใช้ เป็นอาทิได้แก่
                        "พระนางพิมพา  พระอานนท์  นายฉันนะ  อำมาตย์กาฬุทายี  ม้ากัณฐกะ  ต้นมหาโพธิ์  ขุมทรัพย์ทั้งสี่" 
                         พวกเราผ่านด่านแห่งความทุกข์เข็ญลงไปยังท่าน้ำริมฝั่งแม่น้ำคงคา ความเวิ้งว้างกว้างขวางของแม่น้ำโปร่งโล่งสบาย มีเรือจอดเรียงรายมากมายหลายร้อยลำ บางลำก็พายล่องไปมา พวกเราลงเรือขนาด 25 คนนั่งสบายๆ ฝีพายกรรเชียงเรือขึ้นไปเหนือน้ำช้าๆ 
                        ทัศนียภาพของเมืองพาราณสีและท่าน้ำตลอดแนวชายฝั่งตะวันตกของแม่น้ำที่เป็นตัวเมืองใหญ่ สวยวิจิตรพิศดาร ความยิ่งใหญ่อลังการมากมาย ไม่รู้ว่าในรายละเอียดแต่ละปราสาทริมน้ำเหล่านั้นของของกษัตริย์หรือเชื้อพระวงศ์ หรืออัครมหาเศรษฐีคนใด แต่โดยรวม มันช่างยิ่งใหญ่เหลือเกินจะพรรณนา (ดูภาพประกอบซิ)

                       

                         บางจุดเป็นเทวะสถาน บางจุดเป็นอาคารเชิงท่าน้ำ แสงแดดยามเย็นลดความร้อนแรงลงไปมาก ขอบอาคารตัดกับขอบฟ้าเป็นแนวทะมึนทึน แสงไฟเริ่มเรืองรองที่ท่าน้ำทศวเมธ(Dasaswamedth Ghat)  แท่นสี่เหลี่ยมด้านหน้า 5 แท่นมีตะเกียงตั้งอยู่ ชายหนุ่มร่างงามสวมชุดเหมือนโจงกระเบนสีสันสวยงาม ยืนรีรอเหมือนรอเวลา การบูชาไฟค่ำและยามเช้า ทำกันที่ท่านี้
                         เสียงเพลงบรรเลงดังขึ้น เป็นดนตรีที่ไพเราะแบบท่วงทำนองอินเดียพันธุ์แท้ การบูชาไฟเริ่มขึ้นที่การจุดตะเกียงและชายหนุ่มทำพิธีบูชาไฟยามค่ำ  ฝูงชนนั่งล้อมทั่วท่าน้ำ ทุกคนนั่งนิ่งด้วยความศรัทธา เป็นการบูชาไฟที่เรียกกันว่า พิธีคงคาอารตี(Ganga Aarti) 

                        

                        เรือที่จอดนิ่งตอนบ่ายแก่ๆเริ่มพายออก นักท่องเที่ยวถ่ายรูปกันทั่วไป เด็กๆหญิงชายเดินไต่ไปตามเรือแบกกระจาดที่ใส่กระทงน้อยน่ารัก ตรงกลางเป็นเทียนสั้นๆตั้งอยู่ เป็นกระทงดอกดาวเรืองที่จำหน่าย 10 รูปีให้กับนักท่องเที่ยวได้ลอยเคราะห์ลอยโศกกันในแม่น้ำคงคา เป็นบุญมหาบุญที่ได้มาลอย และได้เห็นในหลายสรรพสิ่งที่ไม่มีโอกาสที่จะเห็นจากที่ไหนในโลก คืนนั้น มีเรื่องราวดีๆเกิดขึ้นมากมาย
                          เช่นเรื่องความเมตตา 500 รูปี อันเป็นผลแห่งความเมตตากรุณาที่ยิ่งใหญ่ เป็นความหวังว่าอยากจะช่วยให้อนงค์น้อยๆอนงค์หนึ่งได้สมหวังในรักของเธอ เป็นเรื่องจะได้เล่าขานกันไปอีกนานในหมู่ผู้รู้เห็น  เป็นบุญมหากุศลที่เกิดแต่จิตบริสุทธิ์ ชาตินี้และชาติหน้าผลบุญจะสนองตอบแด่ผู้ให้ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง 
                          เรื่องมันเกิดขึ้นดังนี้ กาลครั้งหนึ่ง เด็กหญิง(อายุ 12 ปี)ขายกระทงเล่าให้ฟังว่า เธอมีเพื่อนชายแล้ว แต่ถ้าแม่ของเธอไม่มีเงินไปสู่ขอให้ เธอก็จะไม่ได้แต่งงาน เดือนหน้านี้แล้วอาจจะได้แต่งงาน  เท่านั้นเอง สาวสวยใจดีคนหนึ่งในเรือของเราก็ค่อยๆพับสตางค์จนเล็กนิดเดียว แล้วรีบยื่นให้ "ให้แม่ของเธอนะ จะได้มีเงินไปสู่ขอเพื่อนชายของเธอ ขอให้สมหวังนะจ๊ะ" เด็กหญิงรับด้วยสีหน้าตื่นตกใจนิดหนึ่ง แล้วเรือก็แยกจากกัน 
                         เรื่องไม่จบเพียงนั้น เด็กหัวเรือลำที่เช่ามาเล่าให้ฟังปนเสียงหัวเราะและใบหน้าเปื้อนยิ้มว่า เด็กหญิงคนนั้นเพิ่งอายุ 12 ปี เธอแต่งงานไม่ได้จนกว่าจะอายุ 18 ปี เดือนหน้าเธอไม่ได้แต่งงานแน่นอน" 
รอยยิ้มและเสียงหัวเราะระรื่น เสียงหนึ่งจึงตะโกนขึ้นว่า "ความเมตตา ความเมตตามหากุศล" เรื่องก็มีเพียงเท่านี้เองครับ แต่ก็เรียกเสียงหัวเราะได้ทุกครั้ง
                

                        

                          คืนนั้น การเดินทางกลับโรงแรมรามาดาราบรื่นหลังจากผจญคลื่นภิขาจารย์ที่เดินตามขอความเมตตา 
              "การให้ต้องรู้จังหวะ เล็งไว้เลยนะว่าจะให้ใคร ขึ้นรถปุ๊บก็หยอดใส่มือทันที ไม่งั้นจะถูกรุมขอ" เสียงใสๆของผู้จัดการแนะนำอย่างผู้เชี่ยวชาญการให้
                ผมก็เล็งไว้คู่หนึ่ง แม่ลูกอ่อนสีหน้าแววตาระโหยเหลือกำลัง เด็กน้อยผอมเกร็งเหมือนอดอยาก พอก้าวเท้าขึ้นไปนั่งประจำที่ก็แอบเปิดกระจกแล้วยื่นมือหยอดเงินใส่มือของเธอทันที หลายคนก็ทำอย่างที่ได้รับคำแนะนำ บางคนขนให้แม้กระทั่งเสื้อผ้าที่มีอยู่ ถ้าถอดกางเกงบริจาคได้โดยไม่อุดจาดตาก็คงทำกันหลายคน คนไทยใจดี ใจเอื้ออารี และใจอ่อน เห็นใครทุกข์ยากแสนเข็ญก็อดใจอ่อนน้ำตาคลอไม่ได้เลย

                       

                   "น่าสงสารจัง" สีหน้าและน้ำเสียงบ่งบอกความหาย
                   นั่งกินข้าวในโรงแรมอิ่มเอมเปรมใจ แต่ช่วงว่างกลับอดคิดถึงเขาและเธอทั้งหลายริมถนนไม่ได้ว่า จะได้กินข้าวกันหรือยัง จะกินอะไร แล้วเขาไปนอนกันที่ไหน ไปเที่ยวอินเดียนี่ว่าที่จริงดีเหลือเกิน ได้เห็นว่า ในโลกนี้ยังมีสิ่งที่เหลือเชื่ออีกมากมายนัก ถึงไม่ตรัสรู้แต่ก็จะรู้ว่า ชีวิตมีความหมายอย่างไร
                   "พรุ่งนี้เช้ามืด ตีสี่ครึ่ง พร้อมกันที่รถ เราจะไปชมอรุณรุ่งริมฝั่งแม่น้ำคงคากันว่าสวยงามเพียงใด  อีกอย่างหนึ่งเราจะลอยเรือชมความสวยงามเมื่อยามเช้าอีกครั้ง ลอยกระทงอีกที" เสียงใสๆดังขึ้น 
                    "500 รูปี เมตตามหากุศลอีกใบนะครับ" คนหนึ่งเอ่ยขึ้น เสียงหัวเราะดังครืนใหญ่ ใบหน้าเปื้อนยิ้มทั่วหน้า
                       
                  

                    แสงสุรีย์ยังไม่จับขอบฟ้า แสงไฟตามริมทางส่องสว่างจนเห็นสรรพสิ่งที่เคลื่อนไหว มีร่างผอมๆมากมายหลายคนที่นอนนิ่งอยู่ริมทางเท้า มีคนนั่งขายของยามเช้า ร้าน"น้ำชา"มีคนยืนมุงดื่มกันอยู่ทั่วไป เป็นอีกวัฒนธรรมหนึ่งที่พบเห็นทั่วไป ผลพวงจากการที่อังกฤษเข้ามาปกครองยาวนาน วิถีชีวิตและวัฒนธรรมการดื่มกินเปลี่ยนแปลงไปไม่น้อย แต่ก็ไม่แน่ใจนักว่า เดิมทีเดียวคนอินเดียก็ดื่มน้ำชามาก่อนหรือเปล่า

                  

                     แต่ทันทีที่รถยนต์จอดให้ลงเดินไปท่าน้ำ ขบวนคนส่งเสริมให้ทำบุญแห้ห้อมกันฉับพลัน ผมท่องคาถาประจำตัว "โนมันนี่ๆๆ" ไปตลอดทาง แต่หูผมคงแว่ว "อาจารย์ ในกระเป๋ามีๆ" เด็กขายกระทงวนเวียนเข้ามาเมื่อเห็นแน่ชัดว่า กลุ่มนี้ลงเรือไปชมพระอาทิตย์ขึ้นแน่นอน เธอเดินประกบจะขายกระทงอีกคราว

                                

                      ในเรือยามแสงสุรีย์เผยโผล่พ้นขอบฟ้าฟากตะวันออก ดวงกลมโตมาก สีทองผ่องอำไพจับท้องฟ้า สะท้อนลงแตะผิวน้ำ เปล่งประกายสีทองอร่ามเรือง ภาพที่ถ่ายได้สวยกว่าปกติด้วยธรรมชาติของตัวมันเอง แสงสีทองสาดใส่ปราสาทราชวังฝั่งตะวันตก ความเปล่งปลั่งของแสงงามซึ้ง ผมกดกล้องทีแล้วทีเล่า อีกหลายคนหันไปซื้อปลาปล่อยลงแม่น้ำคงคา อีกหลายคนซื้อของฝากสีสันสวยงามกลับไปฝากทางบ้าน 

                       

                      เรือแล่นผ่านท่าทศวเมธ มีการบูชาไฟรับอรุณอีกครั้ง ด้วยหนุ่มเหน้าแต่งชุดสวยงาม เรือล่องไปทั่วท้องน้ำพระแม่คงคา ความยิ่งใหญ่อลังการของนครพาราณสีจากอดีตถึงปัจจุบันยังงามซึ้งตรึงใจยิ่งนัก เลยลงไปท้ายน้ำ เป็นท่ามณีกรรณิการ์ฆาต และท่าฮาริสจันทรา อันเป็นท่าที่มีการปลงศพอยู่ขวักไขว่ กลุ่มควันสีขายพวยพุ่งกรุ่นๆ ร่างกำลังมอดไหม้ กองฟืนยังวางระเกะระกะ ในเรือบางลำมีฟืนรออยู่ 

       

                      "หากจะได้บุญสูงต้องเผาด้วยฟืน 8,000 รูปี แต่ถ้าเผาด้วยเตาไฟฟ้าถูก ได้บุญน้อย" เสียงไกด์เล่าให้ฟังอีกครั้ง         
                        มีคนสงสัยถามขึ้นว่า "ฝั่งฟากตะวันออกทำไมไม่มีปราสาทราชมณเฑียรเลย ไม่มีแม้กระทั่งบ้านคน"
                        คำตอบที่ได้คือ "ก่อนการเผามีการนำศพลงจุ่มในแม่น้ำคงคา หลังเผาไหม้หมดหรือไม่ก็จะโยนลงแม่น้ำคงคาอีกครั้ง จากท่ามณีกรรณิการ์ฆาต น้ำจะไหลวนไปฝั่งตรงข้ามพอดี ศพที่เผาไหม้ไม่หมดที่ถูกโยนลงแม่น้ำอันถือกันว่าได้บุญมาก จะไหลไปวนอยู่ฝั่งตรงข้าม ฝูงนกแร้งและกาจะโผผินกินกันสนุก ฝั่งตะวันออกจึงถูกขนานนามว่าเป็นฝั่งนรก ส่วนฝั่งปราสาทราชมณเฑียรเป็นฝั่งสวรรค์"  

                                                       

                        ดังได้กล่าวมาแต่แรกแล้วว่า อันแม่น้ำคงคามหานทีช่วงนี้ เป็นช่วงที่น้ำไหลย้อนกลับไปทางทิศเหนือ และจุดปลงศพก็อยู่ใต้น้ำ การอาบน้ำ การดื่มกินน้ำ ตามท่าต่างๆ จึงไม่ได้ดื่มกินน้ำสกปรกแต่อย่างใด  ความเชื่อเรื่องบุญที่ได้สระสรงลงน้ำคงคาเป็นความเชื่อที่มีมานานกว่า 4,000 ปีแล้ว จึงยังได้รับความเชื่อและมีพลังศรัทธาแรงกล้าอยู่ทั่วไป 

                          

                        ช่วงเช้าตรู่ จึงเห็นฝูงชนเดินดุ่มๆไปลงอาบน้ำในแม่น้ำคงคาไม่ขาดสาย ถนนทุกสายที่มุ่งไปลงท่าน้ำคราคร่ำไปด้วยผู้คนที่เชื่อถือและศรัทธามั่น  
                       ปล.สุดท้าย แม่น้ำคงคาก่อกำเนิดจากต้นน้ำบนเทือกเขาหิมาลัย ไหลผ่านตะวันออกเฉียงเหนือของอินเดียไปรวมกับแม่น้ำพรมบุตร ประเทศบังคลาเทศ แล้วออกสู่อ่าวเบงกอล ยาว 2,510 ไมล์ เป็นแม่น้ำที่ยิ่งใหญ่อลังการที่สุดในชมพูทวีป เป็นตำนานหลายร้อยหลายพันเรื่องราว เป็นอมตะนิรันดร์กาล เป็นสถลมารถที่ยิ่งใหญ่และยิ่งยง เป็นบุญที่ได้ไปเห็นและสัมผัสอย่างทั่วถึง ขอขอบคุณ เจทแอร์เวย์ ที่เอื้อเฟื้อการเดินทางและนำชม
                   

Tags : India Religion tour

 
 หน้าแรก  บทความ  ข่าวสาร  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  เว็บบอร์ด

อัตราค่าโฆษณา    

แบบเนอร์ กลางหน้า.  ขนาด 800 x 400-600 พิกเซล เห็นหน้าแรก  5,000 บาท/เดือน

แบนเนอร์ เหนือโลโก้เว็บไซต์ ขนาด 1000 x 80 พิกเซล เห็นทุกหน้า 4,000 บาท/เดือน

 แบนเนอร์ ซ้าย  ขนาด 240 x 120-160 พิกเซล เห็นทุกหน้า 3,000 บาท/เดือน

ทำข่าวแถลง รีวิวโรงแรมและร้านอาหาร  เขียนสารคดี เชิญได้โดยตรงที่ โทร.081-9416364

ติดต่อ 135 ม.12 ต.กำแพงแสน อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม 73140

 
view