คึดฮอด..เมืองลาว ตอน5. ดาวเวียง กวีผู้ถูกผีเข้า
“เอื้อยนาง”
บทกวีเป็นศิลปะอันงดงามที่มนุษย์สร้างสรรค์ขึ้นมา เพื่อบรรยายความรู้สึกความนึกคิด ความใฝ่ฝัน ความหวังและความปรารถนา
ในสังคมมนุษย์ไม่ว่าเผ่าพันธุ์ใด ๆ ย่อมต้องมีกวีผู้ร้อยเรียงความในใจประพันธ์เป็นบทกวีอันงดงาม สะท้อนจินตนาการ ความรู้สึก จากผลกระทบจากสภาวะแวดล้อมและสังคมมนุษย์
“ดาวเวียง” หนุ่มหนวดงามและอารมณ์ดีคนนั้น เขาเป็นดาวของเวียงจันทน์ด้วยความโดดเด่นในงานประพันธ์ซึ่งมีทั้งบทเพลง บทกวี ข่าว บทความ เรื่องสั้นและบทละคร
ประตูชัยของลาว
ดาวเวียง บุดนาโค คือชื่อจริงของเขา เป็นคนจำปาศักดิ์โดยกำเนิด เขาเริ่มงานเขียนเมื่อเป็นนักศึกษา(เรียนครูชั้นกลาง หรือ ครูมัธยม) โดยเขียนบทกวี และข่าวลงในหนังสือพิมพ์ “เสียงประชาชน” ต่อมาผลงานของเขามีทั้ง บทความ เรื่องสั้น บทกวี และเพลงเพื่อชีวิตซึ่งรักมาก
เมื่อถูกถามว่าทำไมชอบแต่งเพลงเพื่อชีวิต ดาวเวียงตอบว่า
“เป็นหยังเบาะ...ก็ในประเทศด้อยพัฒนาอย่างเฮา มีคนจนเยอะแยะ เฮาต้องการปลอบใจเขา แต่เฮากะบ่แม่นคนรวยคือกัน บ่พอจะหยิบยื่นเงินทอง หรือสิ่งของมีค่าอื่นใดให้เขา เฮาจึงแต่งเพลงเพื่อเขา...เผื่อเขาจะได้มีความสุขบ้าง เมื่อได้ฟังเพลงของเฮา...”
ดาวเวียง บุดนาโค
เพลงของดาวเวียงที่ดังกระหึ่มในเวียงนั้นยุคนั้นมีหลายเพลง เช่น เทียนหัวใจคนดำ เศรษฐีขี้ถี่ กระแสของฟองเลือด เงิน นิยายรักจากเถียงนา ฯลฯ ที่ฮิตที่สุดคือ ครูกับควาย เป็นเพลงที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการอนุรักษ์ธรรมชาติ ป่าไม้
ต้นน้ำลำธาร
ดาวเวียงเล่าว่า ตัวเองเป็นคนหาเช้ากินค่ำ ทำงานได้ทุกอย่าง ตั้งแต่กรรมกรรก่อสร้าง รับจ้างแบกเข่งปลาที่ตลาด ไปจนถึงเป็นมือกล้องสมัครเล่น ที่เที่ยวถ่ายภาพนักท่องเที่ยวตามสถานที่ท่องเที่ยวต่าง ๆ หรือเมื่อมีงานเทศกาลที่มีผู้คนมาชุมนุมกันมาก ๆ โดยถ่ายรูปลูกค้าไว้ แล้วจดชื่อที่อยู่ วันหลังก็เอาภาพไปส่งพร้อมเก็บเงิน มีบ่อยครั้งเหมือนกันที่หาตัวลูกค้าไม่พบ และมีบ้างที่เขาไม่มีเงินจ่าย ดาวเวียงก็ต้องเก็บภาพเอาไว้ นอกจากเสียค่าอัดขยายภาพแล้ว ยังต้องเสียค่าน้ำมันรถจักรยานยนต์
อีกต่างหาก
แม๊ก ขับกล่อมนักเขียนไทย-ลาว
เมื่อถูกถามถึงแรงบันดาลใจในการเขียน ดาวเวียงหัวเราะฮ่ะ ๆ ก่อนตอบว่า
“ถูกผีมันเข้า ตั๊วะเอื้อยเอย...” ฮ่วย คนถามอ้าปากค้าง ดาวเวียงยิ่งหัวเราะดังขึ้นอีก “ผีมันเข้าเลยต้องเขียนออกมา บางทีผีมันแรง ห้านาทีอาจได้หนึ่งบท หรือจบหนึ่งเพลงเลย...ใด๋ เอื้อย”
“ผีมันมาจากใส” ครานี้เอื้อยนางชักอยากให้ผีเข้ามั่งซี
“เงินก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ผีเข้า” เขาเฉลย แต่ส่วนมากแล้วก็เมื่อเห็นความเหลื่อมล้ำ ความไม่ถูกต้องในสังคมจะทำให้ผีเข้าได้มากกว่า
“แต่ก็บ่แน่ดอกนะเอื้อย” ครานี้เขาไม่หัวเราะแต่น้ำเสียงจริงจังขึ้น “เมื่อข้อยเห็นผู้สาวงาม ๆ ผีก็เข้าได้ คือกัน เด๊...”
ดาวเวียงกับอ.โชติ ศรีสุวรรณ
แล้วเขาก็หัวเราะจนหนวดกระดิก แล้วจึงอธิบายให้ฟังว่า บทกวีของเขามีทั้งกลอนวิสุมาลี(วิชชุมาลี) และกลอนเสรี(กลอนเปล่า) ดังตัวอย่าง
คนตาฟาง
(กลอนเสรีที่เขียนตอนถูกผีเข้า)
มองฟ้าสีเหงา ตะวันอับเฉา ม่านเมฆสีเทา เป็นเงาเบียดบัง
ดวงตามืดมัว คัวไปตามทาง บ่มีป่องท่าง โอ้ย...คนตาฟาง
บ่มีความคิด มีแต่ชีวิต มีแต่ความฮัก มีทั้งความอยาก
หัวใจมีฝัน ฝันถึงดวงดาว ฝันเห็นสีขาว เห็นแพรวพราว
เป็นคนตาฟาง มีหรือความหวัง สิ้นแล้วหนทาง น้ำตา...ฟ้าวฝั่ง
อีกตัวอย่างหนึ่งนะคะ เป็นบทกลอนที่ดาวเวียงบอกว่าเป็นกลอนวิสุมาลี
ความฮักอ้ายต่อน้อง คือสัตว์สิ่งมัจฉาปลา
ฮักกว่าเวินวังลึก แม่นทีธารกว้าง
คือดั่งควายกับหญ้า เห็นกันบ่ฮู้เมื่อ
คือดั่งเจียบ่างตั้ว บ่หนีเว้นหน่ายโกน...
กับความหวังของชีวิต ดาวเวียงฝากไว้ว่า “อยากให้บทกวีของเฮาเป็นที่ฮู้จักของคนทั้งโลกว่าคนลาวก็มีความสามารถเหมือนคนชาติอื่น ๆ ไม่แพ้ใคร...”
QQQQQQ