จากคลองวาฬ ถึง หว้ากอ
“สาวภูไท”
เช้าวันต่อมา ฉันกับเพื่อนที่พักกันที่ “บ้านสวนรีสอร์ต” ตื่นขึ้นมารับกาแฟกันแต่เช้าด้วยเสียงปลุกของนก พระอาทิตย์ยังไม่โผล่พ้นเหลี่ยมเขา เพื่อนบางคนยังคงนอนหลับอยู่เลย
ความสดชื่น สงบเงียบ แห่งบรรยากาศยามรุ่งอรุณ บวกความงามของทิวมะพร้าวริมบ้านสวน เหมือนเป็นมนตร์เสน่ห์ฉุดดึงให้ฉันเข้าใกล้ จึงได้สะพายกล้องคู่ใจแล้วออกเดินเลาะเลียบริมถนนบ้านสวน เพื่อสูดโอโซนให้เต็มปอด กะเวลาว่าจะกลับมาให้ทันเพื่อนตื่นนอนกันทุกคนก่อนออกเดินทาง
ด้านตรงกันข้ามกับทิวมะพร้าว เป็นที่ตั้งแห่ง วัดคลองวาฬที่สะอาด ร่มรื่น และสงบเงียบจนดูออกจะวังเวงในยามนี้ กระท่อมเรือนไทยที่พักด้านแม่ชียืนเคร่งขรึม เป็นทิวแถวใต้ร่มไม้คล้ายยังหลับตาพริ้ม และยิ้มต้อนรับแทนเจ้าของขณะฉันเดินผ่านไปเงียบ ๆ ดอกไม้หลายชนิดคลี่กลีบกระจายละอองแห่งความหอมอวลอบ เชิญชวนให้หมู่แมลงภู่ ผึ้ง บินร่อนเก็บเกี่ยวน้ำหวานบรรจุในกระเปาะบรรทุกไปเก็บในรวงรังอย่างไม่ตระหนี่ เฉกเช่นเดียวกับดินแดนแห่งธรรมะแห่งนี้ที่เปิดประตูไว้ให้ผู้แสวงธรรมเดินเข้ามาได้ไม่ห้ามหวง
ตอนหลังคุณนิคมเพื่อนผู้เคยคุ้นกับถิ่นนี้เล่าว่า ณ วัดแห่งนี้ มีหลวงปู่เจ้าอาวาสผู้เมตตา รับเด็กกำพร้า เด็กบ้านแตกร้าว มาไว้ในอุปการะ เลี้ยงดู ให้ชีวิตใหม่ ให้การศึกษาจนเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่เข้มแข็ง ออกสู่สังคมภายนอกอย่างภาคภูมิ ไปแล้วหลายรุ่น หลายคน
มิน่าละ... ฉันสรุปในใจเมื่อฟังเพื่อนเล่า เสียดายที่ไม่ได้สัมผัสที่นั่นมากนัก เพราะมีเวลาเพียงชั่วหม้อข้าวเดือด เกรงจะเป็นตัวถ่วงให้เพื่อนจึงรีบออกมา โดยไม่ได้พบใครเลย เพราะยังเช้าตรู่อยู่มาก พระเณรท่านคงออกไปบิณฑบาต และอุบาสก อุบาสิกาก็ยังไม่มีใครมา
กลับมารวมกลุ่มกันแล้วเราก็ขึ้นรถจะไปสมทบกับเพื่อนอีกกลุ่มใหญ่ที่กำลังทานอาหารเช้ากันที่ริมหาดหว้ากอ บริเวณด้านหลังของพิพิธภัณฑ์สัตว์น้ำ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานวิทยาศาสตร์พระจอมเกล้า ณ หว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์
หาดทรายสีขาว ทอดยาวสุดสายตาโค้งโอบทะเลสีครามเอาไว้ในอ้อมแขน ทิวสนยืนต้นเป็นแถวแนว ส่ายกิ่งใบไหวพลิ้วอยู่ริมหาดทรายมองเห็นแต่ไกล ถัดขึ้นไปจากทิวสน นั่นคือที่ตั้งสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ และ วิทยาศาสตร์แห่งหนึ่งของประเทศไทย น้ำทะเลดูระยิบตาคราคลื่นซัด ให้ยกตัวขึ้นสะท้อนแสงตะวัน
อ่าวเล็ก ๆ นี้ ชื่อ อ่าวหว้ากอ ตำบลคลองวาฬ ห่างจากตัวเมืองประจวบคีรีขันธ์ลงไปทางใต้ ประมาณ ๑๒ กิโลเมตร
ครั้งหนึ่ง ณ ที่แห่งนี้ เมื่อกว่าศตวรรษมาแล้ว ในวันที่ ๑๘ สิงหาคม ๒๔๑๑ ได้กลายเป็นที่ประทับของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ พร้อมด้วยพระราชโอรส พระราชธิดา ข้าราชบริพาร ตลอดจนชาวต่างประเทศได้มาชมปรากฏการณ์ สุริยุปราคาเต็มดวง ที่พระองค์ได้ทรงคำนวณไว้ได้อย่างแม่นยำมาก่อนหลังจากเสด็จกลับแล้วพระองค์ท่านก็ประชวร และสวรรคตในเวลาอีกไม่นาน ค่ายที่ประทับ ณ หว้ากอจึงถูกทิ้งร้างและลืมเลือน
จนต่อมาในปี ๒๕๓๖ กระทรวงศึกษาธิการจึงได้ตั้งเป็นสถานศึกษาเพื่อเทิดพระเกียรติองค์พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวด้วย
ปัจจุบันสถานที่แห่งนี้เป็นทั้งแหล่งท่องเที่ยว พักผ่อนหย่อนใจชายทะเล เป็นทั้งแหล่งเรียนรู้ของเด็ก และเยาวชน เป็นศูนย์กลางจัดกิจกรรมการศึกษาทางด้านวิทยาศาสตร์ เป็นศูนย์ฝึกอบรมครูอาจารย์ และบุคลากรทางการศึกษาทั้งในระบบและนอกระบบโรงเรียน (ข้อมูลเพิ่มเติมที่นี่ http://www.waghor.go.th/v1/home.php)
ทานอาหารเช้า แวะเยี่ยมชมภายในแล้วเราก็ออกเดินทางต่อ จุดหมายต่อไปคือ พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน
รถบัสหนึ่งคัน รถตู้ สองคันออกวิ่งตามกันสู่ถนนเพชรเกษม
ก่อนจากหว้ากอเพื่อนหลายคนติดใจห่อหมกทะเลอยู่แต่เมื่อวานได้ร่ำร้องอ้อนวอนจนคนขับรถใจอ่อน
“แวะก็แวะครับ”
ปรากฏว่าชาวคลองวาฬและหว้ากอวันนั้นอดกินห่อหมกทะเลเจ้าอร่อย เพราะพวกเราเหมาหมด
ระยะทางครานี้ไกลหลายกิโลเมตร เพื่อนจึงมีเรื่องเล่า ประเภทนิทานก้อมมา เรียกเสียงหัวเราะจนน้ำตาไหลไปหลายโอ่ง
หากใครเห็นงานเขียนเล่มต่อไปของฉันออกมาเป็นนิทานก้อมจากป.กศ.๐๘ ละก้ออย่าได้แปลกใจเชียว
๐๐๐๐๐๐
(ยังมีต่อค่ะ)