สงครามประชาชน
โดยนิรกาย
หลังจากทำ 2 มาตรฐานในการร่วมกัน “ผลักความเสียหาย” ไปให้คนนอกเขื่อนกทม.และจังหวัดรอบๆกรุงเทพฯให้กลายเป็น “คนครึ่งบกครึ่งน้ำ” ดมน้ำเน่าและเชื้อรานานกว่า 1 เดือนแล้ว ขบวนการแดงและขบวนการเหลืองก็หันมาสนธิกำลังทางการเมืองจูบปากกันอย่างดูดดื่ม ปล่อยให้คนบาดเจ็บล้มตายครั้งทั้งคู่ “เกาเหลา” “อำนาจ” กันและกันนอนตายตาไม่หลับนึกไม่ออกว่าที่ตายๆกันเพื่อประชาธิปไตยหรือเพื่อให้ “นาย” สมหวังในอำนาจกันแน่
การเสพสมอำนาจร่วมกันดังกล่าวอาจจะเป็นข่าวดีของทั้งสองชนชั้นเพราะจะได้ร่วมมือกันชื่นชมกับอำนาจที่สามารถแปรเป็นความร่ำรวยได้ แต่สำหรับคนที่เข้าใจหลักวิชาทางการเมืองแล้ว การกระทำดังกล่าวเป็นอันตรายต่อประชาชนยิ่งนัก เพราะโครงสร้างทางการเมืองในยุคทุนนิยมจะแบ่งโครงสร้างออกเป็น 3 ชนชั้น ชนชั้นแรกคือ “ชนชั้นสูง” สองคือ ชนชั้นกลาง (นายทุน) และสามคือชนชั้นล่าง (กรรมกร) และถ้าชนชั้นใดชนชั้นหนึ่งหรือสองชนชั้นแรกเอาอำนาจอธิปไตยไปถือครอง (ไม่ว่าจะได้มาด้วยวิธี “เลือกตั้ง” ภายใต้กติกาของชนชั้นสูงหรือนายทุนผูกขาด ไม่ว่าจะได้มาจากการรัฐประหารก็ตาม) การปกครองนั้นก็จะกลายเป็นการปกครองแบบเผด็จการไปทันที (ตามหลักอำนาจอธิปไตยเป็นของชนชั้นใดก็เพื่อประโยชน์แก่ชนชั้นนั้น) แล้ววันนี้มีการเกี้ยเซี๊ยะอำนาจอธิปไตยของ 2 ชนชั้นเข้าด้วยแล้ว ชนชั้นล่างจะไปเหลืออะไร
ช่วงที่ผ่านมา คนที่ไม่รู้วิชาการเมืองอาจจะเห็น “ปรากฏการณ์” การต่อสู้ระหว่างผู้ปกครองชนชั้นสูงที่ใช้สีเหลืองเป็นสัญลักษณ์กับผู้ปกครองชนชั้นนายทุนผูกขาดที่ใช้สีแดงเป็นสัญลักษณ์แล้วทึกทักเอาว่า นั่นคือความขัดแย้งจริง แต่คอลัมน์นี้เคยบอกท่านผู้อ่านแล้วว่า ความขัดแย้งดังกล่าวเป็นความขัดแย้งรอง เป็นความขัดแย้งชั่วคราว เป็นความขัดแย้งปลอมของผู้ปกครอง วันใดที่เขาสมประโยชน์กันอย่างลงตัวได้เมื่อไหร่ พวกเขาก็จะร่วมสูบเลือดสูบเนื้อประชาชนอย่างแน่นอน
อย่างไรก็ตามทั้งคู่ก็หารู้ไม่ว่า การปกครองที่ตั้งอยู่บนมาตรฐาน 2 มาตรฐานหรือการบริหารจัดการชาติที่ตั้งอยู่บนความไม่เสมอภาค ไม่ว่าจะเป็นเรื่องความเสมอภาคต่อหน้ากฎหมายหรือการบริหารจัดการน้ำแบบผลักภาระความเสียหายไปให้กับเกษตรกร อุตสาหกรรมไทย คนตามปริมณฑล คนนอกคันกั้นน้ำ กทม, โดยนึกว่าประชาชนที่ถูกกระทำนั้น “กินแกลบ” เป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ่ง หารู้ไม่ว่า “คนกินแกลบ” “ครึ่งบกครึ่งน้ำ” เหล่านั้น ก็มีมือมีเท้า แถมยัง Sensitive ต่อความอยุติธรรมไม่น้อยไปกว่าใคร ท้ายที่สุดพวกเขาก็จะรวมกันหาทางแก้ไขความไม่ยุติธรรมนั้นอย่างเป็นไปเอง
นั่นหมายถึงว่าความขัดแย้งอันเกิดจากผู้ปกครอง (เหลือง) กับผู้ปกครอง (แดง) กลับจะกลายมาเป็นความขัดแย้งระหว่างผู้ปกครอง (เหลืองร่วมแดง) กับประชาชน เข้าสู่โหมด “สงครามประชาชน” ไปอย่างเต็มตัว ก่อนหน้านั้นการต่อสู้ของประชาชนค่อนข้างจะสะแปะสะปะ เพราะถูกความเป็นเหลืองเป็นแดงพรางตาทำให้ประชาชนไป “ถือหาง” ข้างใดข้างหนึ่ง เพราะคิดว่าฝ่ายที่ตนเข้าไปถือหางนั้นเป็นฝ่าย “ธรรมะ” หรือฝ่ายประชาธิปไตย ที่พวกเขาสามารถตายแทนได้
แต่การรวมตัวกันปกครองครั้งนี้จะไป “เขี่ย” “ม่านบังตา” ทางการเมืองของประชาชน ทำให้ประชาชนสามารถแยกแยะได้ว่า การเมืองแบบเผด็จการ (อำนาจอธิปไตยที่เป็นของขบวนการเหลือง ขบวนการแดงหรือขบวนการแดง+เหลือง ไม่ว่าจะด้วยการเลือกตั้งที่มีตัวแทนนายทุนหรือตัวแทนชนชั้นเหลืองมาให้เลือกหรือรัฐประหารภายใต้การอำนวยการของทั้งสองฝ่าย) นั่นแหละคือเหตุแห่งทุกข์ของพวกเขา
เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ทำให้ประชาชนตื่นตัวทางการเมืองสูงมากอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน การแสดงออกซึ่ง “ความไม่กลัว” ต่ออำนาจเผด็จการในรูปแบบต่างๆทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ทำให้เผด็จการเกิดการ “สั่นไหว”
ก็เพราะการสั่นไหวที่เกิดขึ้นนั่นเองที่ไปบังคับสภาพให้ผู้ปกครองทั้งคู่ต้อง “สนธิการปกครอง” เข้าด้วยกันเพื่อความอยู่รอด สินค้าขายไม่ได้ก็ต้องพึ่งการโฆษณาฉันใด ระบอบ ”เผด็จการ” ขายไม่ได้ก็ต้องพึ่งการโฆษณาชวนเชื่อให้มากขึ้นฉันนั้น วันนี้สปอต “โฆษณาชวนเชื่อ” ให้เผด็จการจึงมีให้เราดูกันอย่างน่าเบื่อหน่ายได้ทุกวัน
ท่านผู้อ่านเชื่อหรือไม่ว่า “การสนธิการปกครอง” ดังกล่าวเป็นดรรชนีชี้วัดว่า การปกครองแบบเผด็จการที่พวกเขาถือครองมานาน 78-79 ปีกำลังล่มสลาย เพราะถ้าไม่ถูกประชาชนต้อนให้จนมุมแล้ว พวกเขาจะรวมตัวกันทำไม เขารวมตัวกันก็เพราะรู้ดีว่าถ้าแยกกันเดินแล้วย่อมจะถูกประชาชนจัดการได้เร็วอย่างแน่นอน
ท่านผู้อ่านครับก่อนที่ลาวจะแตกเผด็จการก็รวมตัวกันแบบนี้เหมือนกัน
ปล.1.ใครที่บอกว่าการปล้นเงินล้านบ้านปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นการปล้นเพื่อยัดเงิน เพื่อการใส่ร้ายป้ายสี ผมว่าคิดใหม่พูดใหม่ดีกว่า ยิ่งคนพูดเพียรทำต้นทุนทางการเมืองมานาน พูดผิดนิดเดียวทุนดังกล่าวก็หายวับไปกับตาเลย
2.การที่รัฐบาลแดงทำ 2 มาตรฐานกับประชาชนจากการแก้ไขปัญหาน้ำท่วมที่ผ่านมา ผู้นำมวลชนแดงที่เคยพูดเรื่องสองมาตรฐานกลับเพิกเฉยต่อเรื่องนี้ ทำให้ประชาชนรู้ได้ว่าพวกเขาเป็นเพียงตัวแทนนายทุนไม่ใช่เป็นตัวแทนประชาชน หมดทุนทางการเมืองไปอีกราย
3 “ความมั่นคงของประเทศชาตินั้น จะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยประชาชนในชาติอยู่ดีมีสุข” ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำรัสในวันที่ 5 ธันวาคมนั้น มีความหมายว่าการอยู่ดีมีสุขนั้นคือ “กฎหมายสูงสุด” ใครฟังไม่เข้าใจก็จงโปรดเข้าใจเอาไว้ด้วย