พาเที่ยววัดใหญ่:กราบไหว้หลวงพ่อใหญ่
โดยธงชัย เปาอินทร์ เรื่อง-ภาพ
พุทธศาสนิกชนคนพุทธในประเทศไทย มีใครไม่รู้จักหลวงพ่อใหญ่ที่วัดใหญ่เมืองสองแคว ยกมือ แฮ่..เงียบสนิทด้วยว่าใครๆก็รู้จักและก็ไม่ใช่รู้จักธรรมดาแต่เป็นพิเศษเชียว ขึ้นเหนือหรือล่องใต้(กรุงเทพ)ก็แวะไปกราบไหว้เอาสิริมงคลใส่กระหม่อม ไม่งั้นก็รู้สีกไม่สบายใจ บางคนจึงกล่าวว่าไปบ่อยที่สุดแต่ก็ไม่เบื่ออยากไปอยู่ วัดใหญ่มีความสำคัญอย่างไรหรือ วัดใหญ่มีความสวยงามอย่างไรหรือ วัดใหญ่มีโบราณสถานและโบราณวัตถุสำคัญอย่างไรหรือ ตามผมไปกราบนมัสการอีกสักครั้ง คงไม่ว่ากัน
วัดใหญ่มีชื่อเต็มๆว่าวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร ตั้งอยู่ริมฝั่งตะวันออกของแม่น้ำน่าน เลขที่ 92/3 ถนนพุทธบูชา ต.ในเมือง อ.เมือง จ.พิษณุโลก เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดวรมหาวิหาร พระสงฆ์ นิกายเถรวาท มหานิกาย
พระธรรมเสนานุวัตร (บำรุง ฐานุตตโรมากก้อน ปธ.7) เป็นเจ้าอาวาส
งานประเพณีนมัสการพระพุทธชินราชประจำปี วันขึ้น3-12 ค่ำเดือน 3 ทุกปี
แต่ทุกวันนี้พุทธศาสนิกชนคนพุทธและคนทุกศาสนาแวะเวียนเข้ามากราบไหว้คราคร่ำ
ตำนานวัดใหญ่กล่าวกันว่า
วัดนี้สร้างมาแต่สมัยกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี เรื่องนี้หลักฐานไม่ชัดเจน
แต่จากศิลาจารึกสุโขทัย ความว่า "พ่อขุนศรีนาวนำถมทรงสร้างพระทันตธาตุสุคนธเจดีย์ขึ้น"
และตามพงศาวดารเหนือ กล่าวว่า "ในราวพุทธศักราช 1900 พระเจ้าศรีธรรมไตรปิฏก(พระมหาธรรมราชาลิไท)กษัตริย์ผู้ครองกรุงสุโขทัย) ทรงศรัทธาในบวรพุทธศาสนายิ่ง โปรดให้เลื่อหล่อพระพุทธรูปขึ้น 3 องค์ เพื่อประดิษฐานเป็นพระประธานในพระวิหารทั้ง 3 หลัง"
ตำนานดังกล่าวนี้บ่งชี้ว่าวัดใหญ่สร้างมาแต่ครั้งกรุงสุโขทัยเป็นราชธานี และเป็นพระอารามหลวงมาตั้งแต่ครั้งนั้น พระมหาธรรมราชาลิไท โปรดให้สร้างพระปรางค์ไว้ตรงกลาง มีพระวิหาร 4 ทิศ
พระวิหารองค์ทิศตะวันออกประดิษฐานพระอรรถารส
พระวิหารองค์ทิศเหนือประดิษฐานพระพทธชินสีห์
พระวิหารด้านทิศใต้ประดิษฐานพระศรีศาสดา
และพระวิหารด้านทิศตะวันตกหันหน้าไปทางแม่น้ำน่าน ประดิษฐานพระพุทธชินราช อันเป็นพระประธานหลักของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร
พระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูปที่มีพุทธลักษณะงดงามที่สุดในประเทศไทย เส้นรอบนอกพระวรกายอ่อนช้อย พระพักตร์ค่อนข้างกลม พระขนงโก่ง พระเกตุมาลาเป็นรูปเปลวเพลิง มีลักษณะพิเศษเรียกว่าทีฆงคุลี คือที่ปลายนิ้วพระหัตถ์ทั้งสี่นิ้วยาวเสมอกัน ซุ้มเรือนแก้วทำด้วยไม้แกะสลักสร้างในสมัยอยุธยา แกะสลักเป็นรูปมกร (ลำตัวคล้ายมังกรแต่มีงวงคล้ายช้าง) อยู่ตรงปลายซุ้ม และมีลำตัวเหรา (คล้ายจรเข้) อยู่ตรงกลางซุ้ม มีเทพอสุราปกป้องพระองค์อยู่สองตน คือ ท้าวเวสสุวัณ และอารวกยักษ์
ช่างผู้ก่อสร้างพระทั้ง 3 องค์นี้เป็นช่างชาวศรีสัชนาลัย และเมืองหริภุญชัย ระหว่างที่เททอง ปรากฏว่าหล่อได้สำเร็จเพียงสององค์ ส่วนพระพุทธชินราชทองแล่นไม่ตลอด ต้องทำพิมพ์หล่อใหม่ถึงสามครั้ง
ครั้งสุดท้ายพระอินทร์ได้แปลงกายเป็นชีปะขาวมาช่วยเททองหล่อ เมื่อวันพฤหัสบดี ขึ้นสองค่ำ เดือนหก ปีมะเส็ง นพศก จุลศักราช 319 จึงหล่อได้สำเร็จบริบูรณ์ นับเป็นอัศจรรย์ยิ่ง
พระพุทธชินราชหล่อด้วยสำริด ปางมารวิชัย ศิลปะสุโขทัยตอนปลาย หน้าตักกว้าง 5 ศอก 1 คืบ 5 นิ้ว สูง 7 ศอก ฐานชุกชีรูปบัวคว่ำบัวหงาย ไม่ได้ลงรักปิดทอง มาลงรักปิดทองเมื่อพ.ศ.2146 สมัยพระเอกาทศรถ แต่อย่างไรก็ดี ความงดงามของพระพุทธชินราชและพระวิหารของวัดใหญ่แห่งนี้ก็เลื่องลือระบือไกล จนเป็นที่นิยมเข้ามากราบไหว้และชื่นชมพุทธศิลป์
เป็นมรดกที่อนุชนรุ่นหลังๆควรร่วมกันถนอมรักษาไว้คู่บ้านคู่เมืองพิษณุโลกสืบไป
พระพุทธชินสีห์และพระศรีศาสดา ได้รับนิมนต์ไปเป็นพระในเมืองหลวงโดยได้ไปประดิษฐานที่วัดบวรนิเวศวิหาร ตราบเท่าทุกวันนี้ ส่วนที่เห็นอยู่ในพระวิหารที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรวิหาร จังหวัดพิษณุโลก นั้นเป็นองค์จำลองใหม่มาทดแทน
เบื้องหน้าพระวิหารพระพุทธชินราชมีซุ้มพระเหลือประดิษฐานอยู่ เนื่องเพราะว่าพระยาลิไทเห็นว่ามีเศษทองสำริดเหลืออยู่ จึงให้นำมาหล่อพระพุทธรูปปางมารวิชัยขนาดเล็ก หน้าตักกว้าง 1 อกเศษ เรียกว่า "พระเหลือ" แต่ทองก็ยังเหลือจึงหล่อพระสาวกอีก 2 องค์ ก็ยังมีทองเหลือจึงเทฐานชุกชี แล้วปลูกต้นมหาโพธิ์ 3 ต้น ระหว่างต้นโพธิ์สร้างวิหารน้อย 1 หลังประดิษฐานพระเหลือและพระสาวก ไปไหว้แล้วจะเหลือ
ศูนย์กลางของวัดคือพระปรางค์ ซึ่งเป็นปุชนียสถานสำคัญที่สุดของวัดใหญ่ อันเป็นคตินิยมของหัวเมืองราชธานีแห่งอาณาจักรสุโขทัย พระยาลิไทจึงโปรดให้สร้างพระปรางค์ขึ้น เพื่อประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ทรงดอกบัวตูม ครอบสถูปเจดีย์ที่สร้างมาตั้งแต่สมัยพ่อขุนศรีนาวนำถม แต่มาแปลงเป็นพระปรางค์เมื่อครั้งที่พระบรมไตรโลกนาถขึ้นไปครองราชย์ที่เมืองพิษณุโลก จึงได้เปลี่ยนสถูปมาเป็นพระปรางค์แบบขอมนิยมในสมัยกรุงศรีอยุธยา
พระวิหารพระเจ้าเข้านิพพาน อยู่นอกระเบียงคตมีขนาดเล็ก ภายในประดิษฐานหีบปิดทองสมมติว่าบรรจุพระศพของพระบรมศาสดา ทำด้วยศิลาตั้งอยู่บนจิตรากาประด้วยลวดลายลงรักปิดทองร่องกระจกสวยงามมาก ปลายพระบาทยื่นออกมาจากโลง ด้านหน้าและด้านท้ายมีพระมหากัสสปะเถระนั่งนมัสการอยู่ ผมไปท่องแดนแผ่นดินธรรมมาก็หลายร้อยวัด แต่เพิ่งเห็นก็วัดนี้
พระวิหารอัฏฐารส ตั้งอยู่หลังพระวิหารพระพุทธชินราช มีพระอัฏฐารสประทับยืนปางห้ามญาติ สูง 18 ศอก สร้างราวปีพ.ศ.1800 ร่องรอยที่เห็นเป็นเสาศิลาแลงขนาดใหญ่ 3-4 ต้น เนินพระวิหารเก้าห้อง ตรงจุดนี้เกือบจะไม่มีพุทธศาสนิกชนเดินเวียนไปกราบไหว้เลย ด้วยความเร่งรีบของการเดินทาง ด้วยอากาศร้อนจัดจนเกินไป หรืออาจจะด้วยไม่รู้ว่ายังมีของดีเหลืออยู่ด้านหลังพระวิหารใหญ่
บริเวณวัดใหญ่ใหญ่จริงๆ ทุกส่วนประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญของวัด มีศาลารายล้อมรอบเพื่อให้ชาวบ้านได้เดินทางมาขายของ ที่ระลึก ของกินของใช้ แม้กระทั่งสมุนไพรหลากหลายตำรับ อาหารการกิน ผลหมากรากไม้เพียบ ไปทั้งทีอดใจไม่ไหวต้องซื้อไปฝากกันสักหน่อย อย่างผมไปนี่ชอบมากก็รากบัวเชื่อมน้ำตาล หรือแห้งเพื่อเอาไปต้มน้ำตาลกิน หรืออยากกินกล้วยตากสินค้าดังเมืองพิษณุโลกก็มีขายที่นี่ หน้าวัดเป็นแม่น้ำน่าน คราที่เป็นช่วงเทศกาลลอยกระทง งานฤดูหนาวของจังหวัด หรืองานใดๆ ริมฝั่งแม่น้ำก็น่าเดินเล่นกินลมชมวิว ได้ควงแฟนแสนมีความสุข