สงขลา ฝั่งนที
ตอน4.ชมพิพิธภัณฑ์คติชนวิทยาที่เกาะยอ
โดย ธงชัย เปาอินทร์ เรื่อง-ภาพ
เกาะยอเป็นเกาะกลางทะเลสาบสงขลา ปรากฎหลักฐานบนแผนที่กัลปนาวัดพะโค ตอนปลายสมัยกรุงสุโขทัยและกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี เกาะยอปรากฎบนภาพแผนที่ตอนปลายสุดเมื่อปีพ.ศ.2158 เขียนว่า "เข้าก้อะญอ" ปีพ.ศ.2230 วิศวกรชาวฝรั่งเศส มองเดียร์ เดอลามาร์ เขียนแผนที่แสดงว่าเกาะยออยู่ในเมืองสงขลา สำแดงว่าเป็นแหล่งอารยะธรรมมาช้านาน
ประการสำคัญพบว่ามีชุมชน 9 ชุมชน เป้นคนจีนอพยพมาจากฝั่งสงขลา โดยเข้าไปอยู่อาศัยทางทิศตะวันออก ส่วนหนึ่ง ทิศใต้อีกส่วนหนึ่ง และทิศตะวันตก สัณนิษฐานกันว่า บริเวณเขาสวนใหม่ และเขากุฎิ คือชุมชน บ้านนอก บ้านสวนทุเรียน บ้านท่าไหล บ้านท้ายสระ บ้นป่าโหนด บ้านนาถิน มีพื้นที่ทั้งเกาะยอราวๆ 11,220 ไร่ เป็นสวนผลไม้ 3,800 ไร่ สวนยางพารา 3,200 ไร่ นอกนั้น 4,220 ไร่เป็นถนนหนทาง บ้านเรือน แหล่งน้ำ ที่สาธารณะประโยชน์ วัด มัสยิด
เกาะยออยู่ห่างจากสงขลาทางรถยนต์ 20 กม. ถ้าข้ามเรือไปจะห่างเพียง 6 กม. วันเดินทางข้ามไปในตอนค่ำ จึงได้เห็นรถยนต์ รถจักรยานยนต์ รถสามล้อบรรทุกของ ไปแออัดกันอยู่บนเรือข้ามฟาก ควันจากรถต่างๆฟุ้งจนต้องหลบเข้าไปอยู่ในรถแอร์ เวลาที่ข้ามไม่นานแต่นานเพราะจอดรอคิว คนสงขลานิยมไปเกาะยอทางเรือข้ามมากกว่าไปทางรถยนต์บนถนน
บนเกาะยอวันนี้ได้กลายเป็นรีสอร์ท โรงแรม ร้านอาหารริมน้ำ มากมายจนเรียกได้ว่าคึกคักดยเฉพาะช่วงเย็นย่ำสนธยาไปจนดึกดื่นค่อนคืน กลายเป็นปหล่งรัแขกบ้านแขกเมืองเลยทีเดียว เหมือนว่าถ้าไปสงขลาแล้วไม่ไปเกาะยอคงเหมือนไม่ได้ไป แต่ถ้าช่วงกลางวันละก็ต้องไปเยี่ยมยามพิพิธภัณฑ์คติชนวิทยา เพื่อเรียนรู้และศึกษาเรื่องราวความเป็นมาของชาวเมืองสงขลา
พิพิธภัณฑ์คติชนวิทยาเกาะยอ อำเภอเมือง จังหวัดสงขลา เพื่อแสดงถึงวิถีชีวิตของชาวใต้ และขนบนิยมในท้องถิ่นซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะ คลอดจนประวัติศาสตร์โบราณคดี ศิลปหัตถกรรมอันเป็นมรดกทางวัฒนธรรม ภูมิปัญญาท้องถิ่นของกลุ่มชนที่อาศัยอยู่ทางใต้ของประเทศไทย โดยมีอาคารต่างๆมากมายที่สร้างไว้ให้ได้เรียนรู้
นอกจากนั้น บริเวณโดยรอบพื้นที่พิพิธภัณฑ์แห่งนี้ ซึ่งเป็นภูเขาสูง สามารถมองเห็นวิถีชีวิตของชาวเกาะยอที่อยู่อาสัยดดยรอบได้อย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอาชีพการประมง การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำ การทำสวนผลไม้ การทำสวนยาง ส่วนตัวอาคารสถานที่ก็สร้างจากศิลปวัฒนธรรมการอยู่อาศัยแบบชาวใต้ บ้านเรือนทรงไทยมีนอกชานโล่งแจ้ง เป็นต้น
ภายในพิพิธภัรฑ์คติชนวิทยายังจัดแสดงเรื่องราววิถีชีวิตความเป้นอยู่ของชาวใต้มากมายหลายหลาก เดินชมกันเพลิน ผมนั้นเดินไปเดินมาเหลือบไปเห็นร้านขายกาแฟเข้า ก็อดใจไม่ไหวละคุณ ต้องไปดื่มสักแก้ว ราคาเพียงแก้วละ 20 บาท แถมไอครีมไปอีก 1 แท่ง บรรยากาศห้องกาแฟโล่งๆ มองไปได้สุดสายตา เท่ากับนั่งพักและนั่งชมไปในตัว
อาคารที่สร้างแต่ละหลังต่างระดับกันไปตามภูมิประเทศที่เป็นภูเขา จึงต้องเดินไปตามระดับถนนที่ทำไว้ ได้ออกกำลังกายไต่ขึ้นแล้วก็ไต่ลง ข้อเข่าแข็งแรงขึ้นอีกด้วย ถือว่าเป็นการออกกำลังกายไปในตัว แต่อย่างนั้นชายชราเยี่ยงผมกลับนิยม มีความรู้สึกว่าไม่ราบเรียบเสียจนไม่มีอะไรแตกต่าง ถ้าไปช่วงเช้าๆเย็นๆจะได้บรรยากาศการพักผ่อนทีเดียว
ผมเดินไปเห็นบ้านพักที่จัดไว้ให้นักท่องเที่ยวพักแรมได้ ค้างคืนได้นั่นเอง ห้องหับสวยงามแฝงด้วยศิลปะ และวิถีชีวิตขอดงชาวใต้ให้ได้เห็น สมกับเป็นพิพิธภัณฑ์ของชาวใต้ เสียดายที่ไม่ได้นอนพักที่นี่ ไปนอนโรงแรมทั่วไปก็เลยไม่ได้กลิ่นอายของวัฒนธรรมการอยู่อาศัย อย่างไรก็ตาม วันพระใช่มีหนเดียว หากมีโอกาสไปเยือนสงขลา แนะนำไว้เลย น่าจะไปนอนที่นี่
รูปปั้นหน้าพิพิธภัณฑ์คติชนวิทยาเป็นรูปการแสดงศิลปะของ "มโนราห์" ศิลปะและวัฒนธรรมการแสดงของชาวใต้ ซึ่งผมได้ชมในคืนหนึ่งถึงการร่ายรำ การร้องมโนราห์ ฟังดนตรีประกอบเพลง สนุกเร้าใจ ไพเราะยิ่งนัก เบื้องหน้าเป็นสะพานติณสูลานนท์ ในบรรยากาศที่แสงแดดแผดจ้าแต่มีเมฆหมอกคลึ้ม ถ่ายรูปมาได้เพียงเท่านี้ละครับ
พิพิธภัณฑ์คติชนวิทยาจึงเป็นสถานที่เก็บรวบรวมเรื่องราวเพื่อแสดง(จำลอง)ให้นักท่องเที่ยวได้รู้และเหฌนภาพในอดีต เป็นแหล่งเรียนรู้และเชิดหน้าชูตาชาวสงขลา เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยม เป็นไฮไลท์หนึ่งของการได้มาเยือนสงขลา ในแนวคิดของผม ถ้ามีนักท่องเที่ยวมาพักและชม อยากจัดมโนราห์แสดงให้ชมสักฉากสองฉาก ก็จะยิ่งมีมนต์ขลังค์มากขึ้น
กว่าจะเดินไปตามอาคารต่างๆอย่างช้าๆ ก็กินเวลาไปหลายชั่วโมง ได้ทั้งเหงื่อและได้ทั้งภาพที่อยากบันทึกเก็บไว้ สำคัญที่สุดได้รู้เห็นจากภาพและวัสดุสิ่งของที่จำลองอดีตมาให้ชม เดินจนเมื่อยยังได้หมอนวดแผนโบราณมาแก้ไขข้อให้เบาบางความเมื่อยขบ ใต้ร่มเงาแมกไม้ที่ร่มรื่น สายลมโชยเฉื่อย นับว่าโชคดีที่ได้มีโอกาสมาเยือน จริงๆ
การจัดพิพิธภัณฑ์คติชนวิทยา ใช้วัตถุของจริงประมาณ 49,000 ชิ้น นอกจากนี้ยังมี หุ่นจำลอง เสียง ภาพ วิดีทัศน์และมัลติมีเดีย ( Multimedia ) แสดงประกอบเนื้อหา เป็นแบบนิทรรศการถาวร ในอาคาร 4 กลุ่มดังกล่าวมาแล้วคิดเป็นเนื้อที่ประมาณ 3,300 ตารางเมตร ซึ่งจัดแสดงเรื่องราวทางทักษิณคดีศึกษาโดยจัดแบ่งเป็นห้อง
เรื่องมงคลยิ่งเรื่องที่หนึ่ง เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2534 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา บรมราชกุมารี ได้ทรงโปรดเสด็จมาเปิดอาคารกลุ่มบ้านหลังคาจั่ว กลุ่มบ้านหลังคาปั้นหยา และกล่มบ้านหลังคาบลานอ
เรื่องมงคลยิ่งเรื่องที่สอง เมื่อวันที่ 2 กันยายน 2539 สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช มกุฏราชกุมาร ได้ทรงโปรดเสด็จมาเปิดอาคารนวมภูมินทร์