http://www.thongthailand.com
  สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com 
 หน้าแรก  เว็บบอร์ด  บทความ  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  ข่าวสาร
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   Cart รายการสั่งซื้อ (0) 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 15/03/2009
ปรับปรุง 13/03/2024
สถิติผู้เข้าชม13,957,139
Page Views16,263,447
« March 2024»
SMTWTFS
     12
3456789
10111213141516
17181920212223
24252627282930
31      
ท่องเที่ยวทั่วไทยไปทั่วโลก
ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต และความเชื่อ
รีวิว ร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ทและสปา
  foo&bed
ธรรมชาติ,สัตว์ป่าและพันธุ์พืช...มีคุณ(nature)
บทบรรณาธิการ สกู๊ฟพิเศษ และเรื่องเล่า
ข่าวสาร
http://www.thongthailand.com/index.php?mo=3&art=42365202
 

บ้านทุ่งแสนสุขตอน15.เกี่ยวข้าวฟ่อน โดย มณีดิน

บ้านทุ่งแสนสุขตอน15.เกี่ยวข้าวฟ่อน โดย มณีดิน

บ้านทุ่งแสนสุข

ตอน15.เกี่ยวข้าวฟ่อน

โดย มณีดิน

                           

                  ลมตะวันออกเฉียงเหนือพัดพรู กระโชกจนปลายต้นไผ่ไหวเอน ใบแก่เหลืองแหล่ๆร่วงหล่น ปลิวไปทั่ว  ยอดข้าวสีทองไหวเอนลู่ตามแรงลม อากาศยามนี้แสนสบาย เย็นผิวกาย ใจไม่เร่าร้อน และเหมือนต้องมนต์แห่งเหมันต์ฤดูฉะนั้น 

                   แม่ค้นเสื้อกันหนาวชนิดบางเบา เป็นเสื้อที่เย็บจากผ้าสำลีมีลวดลายแปลกตา แม่ซื้อมาให้ลูกทุกคน คนละตัวเมื่อหนาวที่แล้ว แต่ยังใส่ได้ไม่คับอก แม่ให้พี่เจนซักเช่นทุกคราว

                  “เก็บไว้ในตู้เหม็นอับ สลัดด้วยเผื่อแมงง่ามเข้าไปอยู่ รีบๆเข้า งานอื่นยังมีอีก”

                   ทุกครั้งที่แม่ให้พี่เจนทำงาน แม่กำชับเช่นนี้เสมอ ด้วยความเชื่องช้าของพี่เจนเป็นอาจินต์ แต่มีหรือพี่เจนจะแสดงกริยาต่อต้าน หรือสีหน้าที่ไม่พึงพอใจ

                  “จ้ะแม่”

                  แล้วพี่เจนก็หอบเสื้อหนาวผ้าสำลีของทุกคนไปซักตามสั่ง

                 “พรุ่งนี้ น่าจะหนาวกว่าวันนี้ น้องๆจะได้ใส่ไปโรงเรียน” เสียงแม่ยังลอยตามหลังพี่เจนไปจนถึงท่าน้ำหน้าบ้าน

                 เสียงเพลงที่คร่ำครวญถึงความหนาว “หนาวจะตายอยู่แล้ว”  เสียงเพลงจากวิทยุบ้านน้าย้อมดังแว่วมาแต่ไกล บ้านผมไม่ต้องเปิดก็ได้ฟังเพลงฟรี  นั่นเป็นเพลงลูกทุ่งยอดฮิตติดหูส่วนใหญ่เป็นเพลงที่ผู้จัดรายการมักจะจัดตามฤดูกาล  เดือนเพ็ญวันลอยกระทง ก็เปิดเพลง ลอยกระทงทุกสถานี บิดไปคลื่นไหนก็ไม่พ้น   พอแค่ว่าลมหนาวโชยมาผู้จัดก็ปรับเปลี่ยนให้เรียบร้อย ไม่ต้องเขียนจดหมายไปขอ  มาตามฤดูกาลทุกปี

                พี่ท้าว พี่ยี่ พี่อุ๊ย หนุ่มเหน้าลูกหลานเจ๊กโรงสี  เดินไปทางไหนก็ผิวปากเพลงหนาวจะตายอยู่แล้ว ของสุรพล สมบัติเจริญ ปรมาจารย์เพลงลูกทุ่งแสนสนุก ครางในลำคอกันไปตามประสาคนหนุ่มๆที่เริ่มเหล่สาวๆ ผมกับทุยพลอยตื่นเต้นไปกับฤดูกาลที่เปลี่ยนไป ด้วย

                  ทุ่งสีทองฝั่งตะวันออกด้านหลังวัดและทุ่งสีทองฝั่งตะวันตก พร้อมรอคมเคียวมาเกี่ยวเก็บ

                “หลังเกี่ยวข้าว เราไปเก็บข้าวตกกันเนาะ”

                 ผมเอ่ยเบาๆกับทุยๆหรือไม่สนใจนัก เขาเพียงพยักหน้าแล้วทำเสียงในลำคอ “อือ” เพราะได้เวลาการ์ตูนในทีวีกำลังจะมาแล้ว

                  ถ้าให้เลือกไปเก็บข้าวตกกับดูการ์ตูนในทีวี ทุยเลือกอย่างหลัง  แต่ผมก็มีพี่น้องผองเพื่อนเช่นเพื่อนซี้ เสริมบ้านเหนือ  อิมกับท้อ ญาติผู้พี่ที่รุ่นราวคราวเดียวกัน ส่วนไอ้อ๊อดบ้านบนเรือนจ้างให้มันไปก็ไม่ไป  ชีวิตนี้มันอุทิศให้ “ไพ่ป๊อก”

                  น้ำขอดลงไปอีก ตลิ่งชายคลองโผล่  เรือหางยาว เรือพาย ยังสัญจรกันได้ตามปกติ ลมหนาวพรั่งพรูแรงขึ้น อากาศลดต่ำในยามค่ำคืนจนต้องสวมเสื้อยืดเก่าๆเข้านอน    เช้าแดดออกก็เพียงสวมเสื้อผ้าสำลีทับแล้วก็ไปโรงเรียนกันได้  สายหน่อยมีเรือนำพาคนไปรับจ้างเกี่ยวข้าวแล่นผ่านหน้าบ้าน เสียงตะโกนทักทายพี่เจนเพรียก

                  “เจน ไปเกี่ยวข้าวมั้ย” พี่เจนยิ้มส่ายหน้า แล้วเรือก็ผ่านเลยไป เสียงพูดคุย รอยยิ้มบ่งบอกว่ามีความสุขสนุกสนานกันจัง แต่พี่เจนของผมก้มหน้าก้มตาทำงานตามที่แม่จะสั่ง

                  “พี่เจนเคยไปเกี่ยวข้าวกับเพื่อนๆมั้ย” ผมถาม คำตอบสั้นๆ

                   “ไม่”

                     แล้วพี่เจนก็เดินเลี่ยงไปทำงาน ผมหรือได้แต่คิดในใจ ถ้าพี่เจนไปเกี่ยวข้าวกับเพื่อน จะเกิดอะไรขึ้น พี่เจนจะเกี่ยวข้าวเป็นหรือ เคียวจะบาดมือเอามั้ย อะไรก็ดูเหมือนว่าจะทำได้ง่ายๆ แต่ในความเป็นจริง ชีวิตจริง นี่ซิ การเกี่ยวข้าวจะเป็นอย่างไร

                     แม้ว่าบ้านเราจะมีนาหลายสิบไร่ อยู่ที่หนองอีเขียวแปลงหนึ่ง อยู่ที่หนองบอนอีกแปลงหนึ่ง ใกล้บ้านที่สุดอยู่แถวคลองอีดูด เฉียงหลังวัดไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ แต่พวกเรากลับไม่เคยทำนาหรือไปเกี่ยวข้าวเลย พ่อกับแม่ให้เขาเช่าทำแบ่งครึ่งจนหมด รสชาติชีวิตบ้านทุ่งของผมจึงขาดๆเกินๆ

                   ผมไม่มีควายให้จูงไปเลี้ยงในทุ่งเหมือนพวกเพื่อน ๆ  ไม่ได้ขี่ควายกลับจากนาแล้วไล่ลงไปอาบน้ำด้วยกันในคลอง กลิ่นโคลนสาบควายไม่เข้าไคล นี่กระมังในใจผมจึงโหยหา

                   ผมอยากเป็นชาวนา ผมอยากมีควายไปเลี้ยงเหมือนเพื่อนๆ ผมอยากลงไปอาบน้ำกับควายแล้วเล่นสาดน้ำกับเพื่อนๆ ผม ผม      

                 “ดำ ดำ โวย” เสียงเสริมตะโกนบนสะพานไม้หน้าบ้านชายคลองลัดในวันหยุดเรียน

                “เออ เสริม เฮ้ยจะไปไหนวะ”

                 ผมโผล่หน้าออกไปตามเสียง เสริมสวมใส่เสื้อผ้าอย่างชาวนา กางเกงขาก๊วยสามส่วน เสื้อแขนยาวสีดำ สวมงอบ มัดเอวด้วยผ้าขาวม้าลายแดงสลับขาว ในมือถือเคียวเกี่ยวข้าว และมีปิ่นโตหูหิ้ว 2 ชั้น 

                  “ไปรับจ้างเกี่ยวข้าวนาตาอยู่ วันละ15 บาทนะ” ผมหูผึ่ง 15 บาท เชียว ผมพยักหน้าแล้วเข้าไปหาเสื้อผ้าใส่จะไปเกี่ยวข้าว เหลียวซ้ายหันขวาก็ไม่มีเสื้อผ้าชาวนาอย่างเสริม

                  “ไม่มีเสื้อกางเกงอย่างมึงซิ” ผมตะโกนบอกเสริมๆเดินขึ้นมาบนบ้านผมแล้วช่วยหาให้ แต่ไม่มีสักตัว

                  “กางเกงขาก๊วยพ่อมึงไง เสื้อก็เอาเก่าๆของแกสักตัว งอบแม่มึงซิ”

                   เท่านั้นก็ได้ชุดลูกเจ๊กเกี่ยวข้าวสุดเท่  ผมสวมใส่เสร็จเดินออกไปไอ้เหี้ยเสริมหัวเราะก๊ากๆ

                   “เอาผ้าขาวม้าไปอีกผืน เออ เข้าท่าเหมือนกัน ไป เดี๋ยวเรือมารับ”

                    ผมเดินตามเสริมไปบนสะพานยาวหน้าบ้าน แต่ไม่ลืมหยิบเคียวเกี่ยวหญ้าของแม่ติดมือมาด้วย นั่งรอเรือตาก้งคนรับเหมาเกี่ยวข้าว แม่ชะเง้อมาดูแล้วก็ผลุบเข้าไปหลังบ้าน พ่อไม่ได้เหลียวมาดูอะไร นั่งพ่นควันบุหรี่ตราพระจันทร์ผุยๆอยู่ที่นั่งประจำ  เรือตาก้งมาถึง พวกพี่ป้าน้าอาเต็มเรือแต่ละคนหันมามองผมกับเสริมแล้วหัวเราะกันเหมือนเห็นขำ  รับเพิ่มแค่ผมสองคนก็พอดีที่จะไปรับเหมาเกี่ยวข้าวกันแล้ว

                    ผมนั่งยิ้มไปตลอดทาง วันนี้จะได้เกี่ยวข้าว ยิ้มระรื่นตื่นเต้นหัวใจเต้นไม่เป็นส่ำ กูก็ลูกชาวนานิ

                   เรือแล่นฝ่าเปลวแดดยามเช้า ไม่ร้อน ลมพัดปะทะหน้าสดชื่น ละอองน้ำกระเด็นเข้าใบหน้า เย็นดีจัง เป็นความสุขใจที่ได้ออกไปเผชิญภัยนอกบ้าน เป็นครั้งแรกที่จะได้เกี่ยวข้าวอย่างชาวนา เป็นว่าเพราะมีเพื่อนชื่อไอ้เสริม ผมได้เผชิญภัยไปเสียทุกสิ่ง มันเป็นเพื่อนที่แสนดี ช่วยเพิ่มสีสันชีวิตให้ผมเพียบพูน

                   กว่าครึ่งชั่วโมงเรือจอดเทียบชายคลอง ทุกคนเดินขึ้นฝั่งนาตาอยู่ แล้ววางกองสัมภาระจำเป็นไว้รวมๆกัน ผมนับได้ถึง21 คน ทั้งผมและเสริม พี่น้องผู้รับจ้างเกี่ยวข้าวนี่เหมือนลูกเสือที่ผ่านการฝึก  พอเสร็จภาระก็เรียงหน้ากระดานกันไป ส่วนใครจะอยู่ใกล้ใครไม่มีใครมาสนใจ เริ่มต้นเกี่ยวข้าวกันโดยอัตโนมัติ

                   ผมดึงกางเกงขาก๊วยของพ่อขึ้นสุด รัดเอวด้วยผ้าขาวม้าผืนเก่า กดงอบแม่ให้แนบกับหัว คว้าเคียวมาถือด้วยมือถนัด ท่าทางกระฉับกระเฉงเอาเรื่องอยู่ ไอ้เสริมหายไปอยู่ตรงไหน ผมไม่ทันได้สังเกตุ แต่ผมก็ก้มตัวลงจนขนานกับผืนนาข้าวสีทอง ผมเหลือบมองพี่แอ๋วเพื่อนพี่จันทร์ซึ่งยืนอยู่ข้างขวามือผมแล้วเหลียวไปดูน้าเอมทางซ้ายมือ  เพื่อดูว่าเขากำเคียวอย่างไร เขากำข้าวอย่างไรแล้วจึงใช้เคียวเกี่ยวข้าวมาทีละกำๆ ผมพยายามทำตาม แต่ด้วยความไม่เคยจึงดูเก้งก้างขวางตาพี่แอ๋ว

                   “ทั้งวัน มึงจะได้ “ฟ่อน” หรือวะดำ”

                     แล้วพี่แอ๋วก็เกี่ยวล้ำหน้าไปพอๆกับน้าเอม เหลือผมพยายามใช้เคียวเกี่ยวข้าวมารวมเป็นกอแล้วก็ใช้มืออีกข้างหนึ่งรวบก่อนใช้เคียวเกี่ยวแล้วดึงจนสุดแรง ได้ข้าวมาเต็มกำมือ ผมเหลียวไปทางข้างหลังแล้ววางกองอย่างพี่แอ๋วทำ ผมเกี่ยวไปได้ 5 กำก็เริ่มรู้สึกปวดหลัง ก้มตัวลงไปแล้ว ไม่อยากเงยหน้าขึ้นอีกเลย เหมือนหลังแข็งๆ ในขณะที่แดดเริ่มแผดแรงขึ้น เหงื่อเริ่มไหลจากใต้งอบอาบหน้า ผมใช้ผ้าขาวม้าเช็ดแล้วก็ทำงานต่อไปตามวิถี

                      ผมเงยหน้าอีกที พี่แอ๋วกับน้าเอมไปไกลแล้ว ทิ้งต้นข้าวรวงเหลืองอร่ามไว้เป็นทางยาว ผมยืนอาบเหงื่อที่ไหลพรูไปทั่วตัว หน้ามืดจนรู้สึกหวิวๆ ผมตัดสินใจก้มลงเกี่ยวอีกหกกำมือก็หมดแรง ผมโยนเคียวลงกับกองข้าวที่แผ่ไว้ แล้วก็เดินเซไปเซมาหาน้ำดื่ม นั่งลงที่กองสัมภาระอันประกอบด้วยปิ่นโตใส่ข้าว กระบอกน้ำดื่ม ผมเอนหลังลงไปกับหญ้าริมทาง ใช้ศอกสองข้างค้ำไว้ไม่ให้เอนจนราบ ผมเหนื่อยและไม่มีเรี่ยวแรงพอที่จะเกี่ยวข้าวให้ทันเพื่อนเขาอื่น ผมเอนตัวลงแนบพื้นหญ้า ทิ้งหัวให้พาดอยู่กับต้นหญ้าริมทาง แล้วผมก็หลบแสงด้วยการปิดเปลือกตาสนิท ผมหลับใหลไปกับความเหน็ดเหนื่อย สำนึกสุดท้าย ผมไม่ใช่ลูกชาวนา

                     “เฮ้ย ดำ ดำโว๊ย ดำตื่นๆกินข้าวเที่ยง”

                       เสริมมาปลุกอยู่นานกว่าจะผมจะตื่น ผมงัวเงียลุกขึ้นนั่งแล้ววางสีหน้าไม่ถูก พี่ป้าน้าอาที่มาเกี่ยวข้าวหัวเราะกันครืนใหญ่ๆ เสริมส่งข้าวแบ่งมาให้กินกับน้ำพริกปลาทอด ผมกินทั้งน้ำเหงื่อที่ไหลไม่ยอมหยุด

                     “ไม่ไหวละมั้งดำเอ้ย พักรอเวลากลับเถอะ  เดี๋ยวจะช่วยมึงเกี่ยวให้ได้สักฟ่อน เออ ได้เดี๋ยวกูช่วยมึงเอง และ..... เป็นคำกล่าวที่เล่าไม่จบแต่ละคนพูดด้วยความเห็นใจ แต่บางคนก็เห็นขำ มันลูกเจ๊กโรงสี มันจะทำอะไรเป็น ลากเสียงคำว่าเป็นเสียยาว ผมได้แต่นั่งฟังเฉย ตีหน้าตายเสียดื้อๆ ไม่หัวเราะตามแต่ก็ไม่หน้าบึ้งตึงเหมือนโกรธ

                      “ก็ข้าไม่เคย นี่ครั้งแรกที่ข้าอยากลองเป็นชาวนานะ” ผมแก้ตัวอย่างถ่อมๆ

                       “เอ้า พวกเรา เย็นนี้เสร็จแล้วมาช่วยไอ้ดำมันหน่อยแล้วกันนะ” สิ้นเสียงพี่แอ๋วก็มีเสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อมเพรียง

                     “ได้ๆ เดี๋ยวจะมาช่วยนะดำ” เพื่อนพี่จันทร์หลายคนสมยอม

                     คนเกี่ยวข้าวรับจ้างเดินผละไปทำงานตามหน้าที่ ผมพยายามลุกขึ้นเดินตามไป แล้วก็ถึงหน้างาน แนวข้าวสีทองเป็นทางยาว หน้ากระดานของผมคนเดียว เหมือนเส้นตีขอบกั้นแดน ไอ้เสริมเดินไปเกี่ยวที่หน้าของมัน มันทำงานเหมือนเป็นลูกชาวนา คล่องแคล่ว จริงจัง และรวดเร็วไม่แพ้ผู้ใหญ่ ผมกำเคียวแน่นแล้วก้มหลังลงสู้ฟ้าหน้าสู้ดิน เกี่ยวไปช้าๆเนิบๆตามประสา  ผมทำไปก็เงยหน้ามองไปเบื้องหน้า เห็นก้นของแต่ละคนอยู่ปลายนา ตาชักลาย

                     ตะวันบ่ายคล้อยห้อยลง แดดแรงร้อนยังไม่คลายตัว เหงื่อยังไหลพรั่งพรู ผมเดินหันรีหันขวางจนในที่สุดก็ได้พี่แอ๋วและเสริมเข้ามาช่วย

                    “ไปมัดข้าวเถอะดำเอ้ย เดี๋ยวพี่เกี่ยวที่เหลือนี่ให้” พี่แอ๋วสั่ง ผมเดินไปกอบเอาข้าวที่วางเรียงมารวมกอง ผมเดินไปดึงตอวซังข้าวมามัดเป็นเชือกฟาง เพื่อรัดกองข้าวให้เป็นฟ่อน ข้าวฟ่อนหนึ่งมีปริมาณรวงข้าวกี่พันรวงตอบไม่ได้ แต่ที่ผมเกี่ยวแล้ววางเรียงๆไว้นั้น เมื่อรวมกองแล้วจะมัดนั้นมัดไม่ลง ไม่ใช่เกี่ยวข้าวได้เยอะเกินฟ่อนหรอก แต่ว่ารวมทั้งหมดแล้วยังไม่พอฟ่อนอีกเกือบครึ่งหนึ่ง

                    “ดำ วางกองไว้นั่นแหละ เดี๋ยวเอาที่พี่ไปรวมคงได้สักฟ่อน”

                     แล้วพี่แอ๋วก็ก้มหน้าลงเกี่ยวข้าวต่อไป วันทั้งวันเกี่ยวข้าวไม่ได้ฟ่อน ช่างน่าขำ

                    เรือจอดส่งหน้าบ้าน ตาก้งขึ้นไปคุยกับแม่ เสียงตาก้งคุยกับแม่แข่งกับเสียงเรือแว่วมาเข้าหู

                    “ป้า พรุ่งนี้ไม่ต้องให้ไอ้ดำมันไปเถอะนะ ข้าขอร้อง”

                    

                       

Tags : บ้านทุ่งแสนสุขตอน14.ปลาออกกุ้งก็ออก

 
 หน้าแรก  บทความ  ข่าวสาร  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  เว็บบอร์ด

อัตราค่าโฆษณา    

แบบเนอร์ กลางหน้า.  ขนาด 800 x 400-600 พิกเซล เห็นหน้าแรก  5,000 บาท/เดือน

แบนเนอร์ เหนือโลโก้เว็บไซต์ ขนาด 1000 x 80 พิกเซล เห็นทุกหน้า 4,000 บาท/เดือน

 แบนเนอร์ ซ้าย  ขนาด 240 x 120-160 พิกเซล เห็นทุกหน้า 3,000 บาท/เดือน

ทำข่าวแถลง รีวิวโรงแรมและร้านอาหาร  เขียนสารคดี เชิญได้โดยตรงที่ โทร.081-9416364

ติดต่อ 135 ม.12 ต.กำแพงแสน อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม 73140

 
view