บ้านทุ่งแสนสุข
ตอน31.แกงนกสับน้ำขลุกขลิก
โดย มณีดิน
หลังเกี่ยวข้าว นาดอนแห้งแก๊ก เหลือแต่ตอซังข้าวเหลืองอร่าม เมล็ดข้าวที่ร่วงหล่นยังมีคุณค่าต่อสัตว์จำพวกนก หนู ได้เก็บกิน
แต่นาลุ่มยังมีน้ำฉ่ำแฉะเป็นหย่อมๆ กุ้งหอยปูปลาหลงน้ำยังมีให้พวกเราเหล่าทโมนไพรไปไล่จับหามาปิ้งย่างกินกัน
วิถีชีวิตของเด็กบ้านทุ่งชายนาอย่างพวกเราก็ไม่แตกต่างกัน เว้นแต่พวกเด็กลูกเจ๊กโรงสีส่วนใหญ่ เขาก็อยู่ในสังคมของเขา ล้อมวงเล่นไพ่ โขกหมากรุก
เหลือเดนจริงก็ผมนี่แหละที่ชอบออกไปกับเพื่อนๆ บ้านห้วยคันเหนือ หรือไม่ก็บ้านห้วยคันใต้ ไอ้เสริมเป็นเพื่อนคู่ใจ ไปด้วยกันทีไรก็ได้แต่เรื่องราวแบบเด็กท้องนาเขาทำกัน
ตะวันบ่ายข้ามหัวไปแล้ว แดดร้อนระอุ ใต้ร่มจามจุรีหน้าวัดยังมีขาประจำไปนั่งล้อมวงคุยด้วยโอเลี้ยงแก้วเดียว ผมกับเสริมเดินเฉียดไปห่างๆ กลัวเสียงที่ชอบตะโกนมาถาม
“แม่มึงเหลือน้ำตาลเมา สำหรับกูเย็นนี้ไหม” นั่นละเสียงตาท้ง ลูกป้าจำปีขาประจำ
เพื่อให้การเดินทางปลอดสารสะดุดหู ผมเลี่ยงๆเดินไปข้างๆเสริม จนรอดพ้นสายตาของพี่ๆน้าๆที่เป็นขาประจำ ทะลุเลยไปทุ่งหน้าวัดทางทิศตะวันออก
นาลุ่มอยู่แปลงทางใต้ป่าช้า(กองฟอน) ที่มันลุ่มเพราะว่ามันอยู่ใกล้ทางน้ำที่เป็นรางลงมาจากดอนเหนือ ส่วนนาดอนอยู่เหนือขึ้นไปจากกองฟอนเผาศพ
เสริมพาเดินไปนาดอน เพราะว่าอุปกรณ์การล่าวันนี้คือ”หนังสติ๊ก”คันเดิม อาวุธคู่กายของเสริมที่เหน็บไว้ข้างหลังเสมอ ลูกกระสุนดินเหนียวปั้นกลมตุงอยู่ในกระเป๋ากางเกงหูรูดสีน้ำเงิน มันเดินเหมือนย่องๆ ค้อมกายหมอบเตี้ย กวาดสายตาไปตามกอซังข้าว แล้วจีปากเบาๆ
“นกเขาหม้อ นกเขาไฟ และนกพิราบ”
นกพิราบลงกินเมล็ดข้าวตกค้าง
เสริมกระซิบเล่าแล้วนั่งยองๆลงเหมือนเสือหมอบ ล้วงลูกกระสุนดินเหนียวออกมา 2 ลูก ลูกหนึ่งใส่รังหนังสติ๊กเตรียมยิง อีกลูกสำรองในอุ้งมือ เหงื่อไหลท่วมแผ่นหลังของเราทั้งสอง แต่เหมือนว่าลมทุ่งจะช่วยให้ไม่รู้สึกเลยว่า ร้อน
นกเขาหม้อจิกกินไปสองทีก็คูหาตัวเมียเหมือนเรียกแฟนให้มากิน นกเขาไฟก้มหน้าจิกกินเอาๆไม่ขันคู แต่นกพิราบจิกกินไปก็ครางฮือๆๆ เหมือนคำราม ด้วยความสุขใจ นกฝูงนี้มีกว่าสิบตัว เสริมยกคันหนังสติ๊กแล้วง้างสุดแขน แล้วปล่อยรังกระสุนดังเฟี้ยว
นกพิราบสีเทาหงายกลิ้งไปตามแรงกระสุนดิน นกทั้งฝูงบินหนีขึ้นท้องฟ้าเสียงปีกกระทบกันดังพรึบๆ เสริมรีบจ้ำไปคว้านกพิราบที่กำลังดิ้นกระแด่วๆ มันรวบขานกแล้วฟาดลงกับดินดังเปี๊ยบ นกพิราบตายสนิท ผมหยีตาลงเหมือนหวาดๆ
“มันเจ็บ ทรมาน ต้องช่วยให้มันตายไปเร็วๆ”
“นกสับ มื้อนี้ อร่อยแน่” เสริมพูดพลางก็เหน็บหนังสติ๊กไว้ข้างหลัง แล้วเดินถอนขนนกไปพลางๆ จนเหลือแต่ตัวล่อนจ้อนกับขนอ่อนเป็นบางหย่อม
เสริมหลบเข้าใต้ต้นกอไผ่หลังวัด บังเงาแดดที่เริ่มแผดแรงขึ้น ผมตามไปติดๆ มองดูนกพิราบนิ่งสงบอยู่บนพื้นดิน เสริมล้วงไฟแช๊กออกจากอีกกระเป๋าแล้วกวาดฟางข้าวมารวมกอง จุดไฟพรึบเดียวก็มอดอย่างโบราณว่า ไฟไหม้ฟาง
“ดำ มึงกวาดฟางมาเติมให้หน่อยสิ ไอ้ห่านี่ทำอะไรไม่เป็นเล้ย” แม่งด่าแล้วก็เตรียมจุดไฟอีก มันจับขานกพิราบแกว่งเหนือไฟ ขนอ่อนไหม้เป็นจุณ นกสะอาดปราศจากขนที่หลงอยู่ มันลุกแล้วเดินนำหน้ากลับบ้านห้วยคันเหนือ
“เฮ้ย ไปกินข้าวเย็นบ้านกู แกงนกสับนะโว๊ย” แล้วทำท่าน้ำลายไหลเล่น ผมเห็นขำจึงตามไปด้วย
ใต้ถุนบ้านเสริม เหมือนเป็นห้องนั่ง-นอนบนแคร่ไม้ไผ่เล่นๆลมพัดเย็นๆ มุมหนึ่งมีเครื่องเคราครบถ้วน จำพวกมีดพร้าจอบเสียมเขียงและกระต่ายขูดมะพร้าว อ้อ ครกหินพร้อมสากกะเบือไม้ตาล เสริมได้มีดก็กรีดท่องนกพิราบ ควักเครื่องโยนทิ้งไปไกลสุดแรง หมาสามตัววิ่งไล่กันไปแย่งกิน เสริมล้างเลือกแล้วหั่นเป็นชิ้นๆ ส่วนหนึ่งเอาปิ้งกินอีกส่วนหนึ่งสับจนละเอียด
นกปิ้งหอมๆ
ผมเดินไปขุดตะไคร้ เด็ดใบมะกรูด ใบกระเพรา กระชายล้างน้ำแล้ววางเคียง เสริมเอากระเทียม หอมแดง ข่าแก่ๆ 4-5 แว่น หั่นตะไคร้ แล้วเทลงครก ตำจนแหละ ใส่พริกแห้งลงไปอีก โคลกจนละเอียด กลิ่นหอมฟุ้งจนน้ำลานสอปาก เสริมจุดเตาไฟใส่ฟืนแรง ตั้งกระทะแล้วเทน้ำมันหมูลงไป ควักน้ำพริกแกงนกสับลงไปคั่วจนหอม เติมด้วยกระชายซอย ดับกลิ่นคาวแล้วเคล้านกสับกับเครื่องแกงจนสุก เติมน้ำแบบขลุกขลิก เสร็จแล้วแกงนกสับน้ำขลุกขลิก
เสริมตักใส่ชามแล้วโรยด้วยใบกระเพรา ใบมะกรูดซอยละเอียด ควันฟุ้งกระจายจากชามหอมฉุย ผมปิ้งนกส่วนแยกบนเตาไฟบนตะแกรงเหล็ก พลิกไม่กี่ทีก็สุกหอม ผมฉีกลงจานแล้วยกไปตั้งบนแคร่ใต้ถุนบ้าน เราสองอร่อยโฮกฮือกับนกปิ้งและแกงนกสับ แต่ด้วยว่าแกงนกสับน้ำขลุกขลิกนั้นเผ็ดด้วยพริกแห้งที่ใช้เป็นพริกขี้หนูแห้ง รสชาติเลยจัดจ้านไปหน่อย เล่นเอาเหงื่อไหลติ๋งๆจากตีนผมบนหน้าผาก เสริมใช้ท่อนแขนปาดเหงื่อสลัดทิ้งแล้วกินต่อ