ในคมขวาน ๑๙
พระสายน์
จากวัดโพธิ์ชัยหนองคายสู่วัดปทุมวนาราม กทม.
“สาวภูไท”
เทศกาลตรุษจีน๒๕๕๘ ผู้เขียนกับพิมลพรรณผู้กลายเป็นนักท่องวัดในกทม.ด้วยกันไปแล้ว ได้ไปกราบพุทธรูปในโบสถ์ นาม “พระสายน์” ณ วัดปทุมวนาราม ราชวรวิหาร ปทุมวัน พร้อมอธิษฐานถึงพระพุทธรูปที่มีชื่อคล้ายกัน และมักมีการเข้าใจผิดว่าเป็นองค์เดียวกัน นั่นคือพระใสที่วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคาย ซึ่งมีประวัติความเป็นมาเกี่ยวโยงกัน คือข้ามแม่น้ำโขงจากล้านช้างสู่สยามประเทศในช่วงเวลาเดียวกัน
ความจริงพระพุทธรูปที่มีนามขึ้นต้นด้วยตัวอักษร “สอ” จากล้านช้างที่ถูกอัญเชิญข้ามโขงในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน(หลังศึกพระเจ้าอนุวงศ์)ยังมีอีกหลายองค์ คือ พระเสริม พระสุก พระใส พระเสาร์ พระเสี่ยง พระแสน และพระสายน์องค์นี้
เพราะนามนั้นออกเสียงใกล้เคียงกัน และข้ามแม่น้ำโขงจากราชอาณาจักรล้านช้างมาอยู่ที่วัดโพธิ์ชัยหนองคายก่อนเช่นกัน จึงมักเข้าใจผิดว่าเป็นองค์เดียวกัน
นั่นคือพระสายน์ กับพระใส
จึงขอเท้าความจากประวัติศาสตร์ ล้านช้างเวียงจันทน์ถึงประวัติความเป็นมาของพระพุทธรูปศักดิ์คู่บ้านคู่เมืองหนองคายในวัดโพธิ์ชัยก่อนนะคะ
เมื่อพระเจ้าไชยเชษฐาธิราช(ครองราชย์ช่วงพ.ศ.๒๐๘๙-๒๑๑๔ )ได้ทรงย้ายเมืองหลวงของอาณาจักรล้านช้างจากหลวงพระบางมาตั้งยังเวียงจันทน์ เป็นยุคแห่งความเจริญรุ่งเรืองยุคหนึ่งของราชอาณาจักร ทรงเป็นกษัตริย์ที่ทรงพระปรีชาทั้งด้านการรบและการปกครองบ้านเมือง เมื่อย้ายนครหลวงมาแล้วก็ทรงปรับปรุงทำนุบำรุงบ้านเมือง และการพระศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองเป็นการใหญ่ มีการสร้างแปงวัดวาอารามใหม่ ขึ้น และยังให้มีการซ่อมเสริม บูรณปฏิสังขรณ์วัดเดิม ทรงส่งเสริมการสร้างพระพุทธรูปสำคัญขึ้นมากมายประดิษฐานไว้ทั้งสองฟากฝั่งแม่น้ำโขง ตั้งแต่พระธาตุหลวงเวียงจันทน์จนถึงพระธาตุพนม
ไม่เพียงแต่พระองค์เท่านั้นที่มีศรัทธาและทุ่มเทให้การพระศาสนา แต่ยังรวมถึงข้าราชบริพารใกล้ชิด พระมเหสี และพระธิดาอีกด้วย ต่างปฏิบัติเพื่อการกุศลโดยสร้าง บำรุงวัด และสร้างพระปฏิมากรประจำพระองค์
พระธิดาสามพระองค์มีนาม เจ้านางสุก เจ้านางเสริม และน้องเล็กเจ้านางใสซึ่งเป็นพี่น้องร่วมพระมารดาเดียวกันคือพระนางจอมมณี ต่างก็ได้จัดสร้างพระพุทธรูปประจำแต่ละองค์เพื่อเป็นสิริมงคลเช่นกัน
เป็นพระพุทธรูปงดงามหล่อด้วยทองคำสีสุก มีนามตามผู้ทรงสร้างว่า พระสุก พระเสริม และพระใส ประดิษฐานไว้ ณ วัดโพนชัย ที่เวียงจันทน์เป็นที่เคารพสักการของปวงชน
ต่อมาหลังจากพระเจ้าไชยเชษฐาสิ้นพระชนม์ก็เกิดสงคราม ความวุ่นวายขึ้นในราชอาณาจักร จึงมีการเคลื่อนย้ายสิ่งมีค่าของบ้านเมืองไปหลบซ่อนข้าศึก พระสุก พระเสริม พระใสถูกนำไปเก็บซ่อนในแถบภูเขาควาย ซึ่งมีภูผาหน้าถ้ำลึกลับมากมาย บ้างแหล่งหลบซ่อนซ่องสุมกำลังคนเพื่อการสู้รบ บ้างแหล่งที่อยู่ผู้คนผู้ชอบสัณโดษอยู่ห่างไกลความวุ่นวาย
ถึงรัชสมัยของพระเจ้าสุริยวงศาธรรมมิกราชนั้นเป็นช่วงบ้านเมืองสงบสุขร่มเย็นพระพุทธรูปทั้งสามได้กลับมาประดิษฐานยังเวียงจันทน์ตามเดิม แต่ครั้นหมดยุคของพระองค์ความขัดแย้งในราชสำนักก็ก่อตัวขึ้นอีก พระพุทธรูปสำคัญทั้งสามและอื่น ๆ จึงถูกนำไปซ่อนอีกครั้งหนึ่ง
และในสมัยพระเจ้าสิริบุญสารได้เกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงกับเสนาบดีผู้ใหญ่เป็นเหตุให้พระวรปิตายกไพร่พลหลบหนีกระทั่งถึงนครจำปาศักดิ์ เกิดการสู้รบไล่ล่าไม่สิ้นสุดจนฝ่ายผู้หลบหนีไปขอพึ่งพระบารมีของพระเจ้ากรุงธนบุรี เวียงจันทน์จึงถูกตีแตก พระแก้วมรกต พระบางถูกอัญเชิญข้ามฝั่งโขงเข้าสยามพร้อมคนลาวจำนวนมากถูกกวาดต้อนมาด้วย รวมถึงเจ้าอนุวงศ์บุคคลสำคัญในประวัติศาสตร์สองราชอาณาจักรด้วย
กระทั่งถึงสมัยรัชกาลที่ ๓ แห่งรัตนโกสินทร์เจ้าอนุวงศ์ซึ่งได้กลับมาปกครองเวียงจันทน์ในฐานะประเทศราชสยามแล้วต้องการเป็นเอกราช สงครามจึงเกิดขึ้น และเจ้าอนุวงศ์เป็นฝ่ายแพ้สิ่งมีค่าก็ถูกซอกค้นเก็บกวาด เคลื่อนย้ายมาอีกคราว
ส่วนพระสุก พระเสริม พระใส และพระพุทธรูปสำคัญอื่น ๆ เช่น พระเสาร์ พระเสี่ยง พระอรุณ พระเจ้าอินแปลง และอื่น ๆที่ไม่ทราบชื่อ ถูกอัญเชิญออกจากภูเขาควาย ลงแพไม้ไผ่ ล่องมาตามแม่น้ำงึม ครั้นใกล้ถึงปากงึมที่บรรจบกับแม่น้ำโขง ได้เกิดอัศจรรย์มีพายุใหญ่เกิดขึ้น ฟ้าแลบแปลบปลาบ แท่นพระสุกได้แทรกแพจมลงใต้น้ำหายไปไม่พบอีกเลย บริเวณนั้นได้ชื่อว่า “เวินแท่น” และเมื่อมาถึงปากน้ำงึม(เฉียงกับที่ตั้งอำเภอโพนพิสัย)ก็เกิดอัศจรรย์ขึ้นอีก พระสุกได้แหกแพจมหายลงไปใต้แม่น้ำโขงอีกที่ตรงนั้นถูกเรียกว่า “เวินสุก” ตลอดมา
แพพระพุทธรูปที่เหลือทวนน้ำขึ้นมาถึงโพนพิสัย(ปากห้วยเดิม)ก็หยุดพัก อัญเชิญพระเสี่ยงขึ้นไว้ในวัดมณีโคตร แล้วนำแพพาพระพุทธรูปที่เหลือทั้งหมดไปไว้ที่วัดหอก่อง หรือ วัดประดิษฐ์ธรรมคุณ (ปี พ.ศ.๒๓๗๑) ต่อมาเจ้าเมืองและกรมการเมืองหนองคายได้ประชุมตกลงกัน อัญเชิญพระเสริมไปไว้ที่วัดโพธิ์ชัย ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ และได้บูรณะขึ้นใหม่ให้สวยงาม ใหญ่โต โอ่อ่า เหมาะสำหรับพระพุทธรูปสำคัญคู่บ้านคู่เมืองนี้ ไม่นานต่อจากนั้นหลังจากเปลี่ยนรัชกาลในกรุงเทพฯ พระเสริมได้ถูกเคลื่อนย้ายไปไว้ที่กรุงเทพฯ ยังคงเหลือแต่พระใส ที่อัญเชิญจากวัดหอก่อมายังวัดโพธิ์ชัย และเป็นพระคู่บ้านคู่เมืองหนองคายมาจนตราบเท่าทุกวันนี้ (ประชาชนทั่วไปมักเรียกว่า “หลวงพ่อพระใส” หรือ “หลวงพ่อเกวียนหัก”)
พ.ศ.๒๓๙๘ ตรงกับสมัยรัชกาลที่ ๔ แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ได้ทรงแต่งตั้งเจ้าหน่อคำข้าหลวงให้ออกไปทำการสักเลกขึ้นทะเบียนสำรวจประชาชน ได้มาพัก ณ หนองคายกว่าปี ทำการสักเลกทั้งสองฝั่งแม่น้ำโขง พบพระพุทธรูปล้ำค่าในแถบเมืองมหาชัยกองแก้ว คือ พระแสน และพระสายน์ จึงได้อัญเชิญเคลื่อนย้ายมาไว้ ณ วัดโพธิ์ชัยแห่งเดียวกันนี้ก่อนมีการเคลื่อนย้ายต่อเข้ากรุงเทพฯ เพื่อถวายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงให้มีการสร้างวัดปทุมวนาราม(พระอารามหลวงชั้นตรี)ขึ้น พระแสน พระเสริม พระสายน์จึงได้ประดิษฐาน ณ วัดปทุมวนารามแห่งนี้ตลอดมา
พระสายน์นั้นประดิษฐานไว้ในโบสถ์(ดังในรูป) ส่วนพระเสริม กับพระแสนอยู่ในวิหารต่างหาก ส่วนพระใสยังคงอยู่ที่วัดโพธิ์ชัย จังหวัดหนองคายดังเดิม
๐๐๐
ข้อมูลจาก “ประวัติศาสตร์ไทยลาว เรื่องพระสุก พระเสริม พระใส พระแสน พระสายน์(พระใส)” โดย พระมหาวิโรจน์ วิโรจโน(ผาทา) น.ธ.เอก).ธ.๔ พธ.บ.(เกียรตินิยมอันดับ๑) พธ.ม(ปรัชญา)