ป่าต้นน้ำเมืองร้อนกับป่าต้นน้ำเมืองหนาว
โดย ธงชัย เปาอินทร์ เรื่อง
ภาพ ลุงหนวด สุเทพ พวงมะโหด+ทสจ.น่าน ประสิทธิ์ พัฒนใหญ่ยิ่ง
ป่าต้นน้ำต้องมีป่าปกคลุม
ในปีที่พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ์ เป็นนายกรัฐมนตรี เปิดเวทีสาธารณะเกี่ยวกับพระราชบัญญัติป่าชุมชน ที่ตึกสันติไมตรี รูปแบบก็เป็นสากลคือมีคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิระดับศาสตราจารย์ ดอกเตอร์ จากมหาวิทยาลัยต่างๆ และสถาบันที่เกี่ยวข้อง ผมจำไม่ได้ว่าใครเป็นใครบ้าง จำได้แค่ดร.สุนทร มณีสวัสดิ์ จากมหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราชคนหนึ่ง
ผู้ดำเนินการประชาพิจารณ์กำหนดให้ฝ่ายเสนอและฝ่ายค้านขึ้นพูดแสดงความคิดเห็นคนละ 15 นาที ทั้งสองฝ่ายแบ่งเป็นฝ่ายสนับสนุนพระราชบัญญัติป่าชุมชน มีส่วนป่าชุมชนของกรมป่าไม้เป็นหลัก วนศาสตร์ชุมชน ม.เกษตรศาสตร์ เป็นเครือข่าย ส่วนฝ่ายที่คัดค้านส่วนใหญ่เป็นองค์กรภาคเอกชนที่ไม่มีผลประโยชน์และไม่รับเงินงบประมาณจากรัฐ
ป่าต้นน้ำเมืองน่าน เกลี้ยง
ได้แก่ NGOs กลุ่มป่าต้นน้ำ เครือข่ายป่าต้นน้ำ 25 ลุ่มน้ำ ร่วมกับคณาจารย์ด้านนิติศาสตร์และรัฐศาสตร์จากมหาวิทยาลัยต่างๆ ผมไปในฐานะกรรมการและเลขานุการมูลนิธิสมเพิ่ม กิตตินันท์ อ.นาน้อย จ.น่าน อดีตหัวหน้าหน่วยปรับปรุงต้นน้ำน่านหน่วยที่ 1.ห้วยสามสบ อ.นาน้อย จ.น่าน แต่ขณะนั้นได้ย้ายมาประจำการที่กองอนุรักษ์ต้นน้ำกรมป่าไม้แล้ว
ดินถูกกัดชะพังทะลายลงไปพร้อมสารพิษ
เรื่องมาเกี่ยวโยงกันหลากหลายประเด็น สรุปว่ากลุ่ม NGOs สายป่าต้นน้ำ ไม่ได้ต่อต้านพระราชบัญญัติป่าชุมชน แต่ในมาตราหนึ่งของพรบ.ฉบับยกร่างนี้สุ่มเสี่ยงต่อการจะประกาศทับพื้นที่ป่าอนุรักษ์ประเภทอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ด้วยเจตนาจะเข้าไปมีอำนาจการบังคับใช้ผืนป่าดังกล่าวได้เพียงคน 50 คนเสนอแล้วจบ
เหลือต้นไม้แค่นี้ปกป้องต้นน้ำไม่ได้เลย
กลุ่มสนับสนุนจากฝ่ายกรมป่าไม้และวนศาสตร์ชุมชน ซึ่งเป็นดร.คนหนึ่งได้ขึ้นมากล่าวว่า ทั่วโลก ไม่มีประเทศไหนต้องกำหนดพื้นที่ป่าต้นน้ำให้เหลืออยู่ถึง 25-40% แต่อย่างใด เช่นประเทศอังกฤษมีป่าเหลืออยู่เพียง 7% อะไรทำนองนี้ ตาม พรบ.นี้จึงไม่จำเป็นต้องกำหนดผืนป่าต้นน้ำอย่างน้อย 25-40% ตามหลักวิชาการป่าไม้แต่อย่างใด
เมืองหนาวมีภูเขาน้ำแข็งเป็นป่าต้นน้ำ
กลุ่ม NGOs สายเครือข่ายป่าต้นน้ำจากเชียงใหม่ จำได้ว่าเป็นหัวหน้าเหมืองฝายของอำเภอจอมทอง ที่มีป่าดอยอินทนนท์เป็นป่าต้นน้ำสำคัญได้ลุกขึ้นไปตอบโตดังนี้คือ
“สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถได้ทรงกล่าวไว้คราวเสด็จเยือนป่าต้นน้ำที่เชียงใหม่ว่า ในต่างประเทศเขามีภูเขาน้ำแข็งเป็นป่าต้นน้ำ แต่ประเทศไทยเป็นป่าเมืองร้อนไม่มีภูเขาน้ำแข็งจึงต้องมีป่าต้นน้ำไว้ดูดซับน้ำแล้วปล่อยให้ไหลมาให้ได้ใช้กันอย่างสม่ำเสมอ จึงต้องช่วยกันรักษาป่าต้นน้ำเอาไว้”
บุกรุกป่าต้นน้ำทำสวนยางพารา
ผมนั่งฟังแล้วก็สะท้อนใจว่า ดอกเตอร์คนนั้น แม้เรียนสูงถึงปริญญาเอกด้านวนศาสตร์ แต่ไร้จิตสำนึกที่จะกล่าวความจริง จนเมื่อหัวหน้าเหมืองฝายจอมทองที่จบแค่ชั้นประถม 4 ลุกขึ้นอ้างพระราชดำรัสของสมเด็จพระบรมราชินีนาถดังกล่าว จึงรู้สึกละอายใจยิ่ง ทำไม คิดอะไร จึงคิดว่าคนอื่นโง่ ปกปิดข้อมูลได้ด้วยหรือ
ไม่มีต้นไม้ป่าปกคลุม เหลือแต่ไร่ข้าวโพด ฉิบหายแน่ๆ
กลุ่มสนับสนุนพรบ.ป่าชุมชนอีกคนหนึ่งลุกขึ้นกล่าวว่า ตามมาตรา 6 แห่งพรบ.ฉบับนี้ ก็บัญญัติให้หากประชาชนคน 50 คนร้องขอประกาศเป็นป่าชุมชนในเขตป่าอนุรักษ์ทั้งสองประเภท ก็เขียนไว้แล้วว่าต้องปฏิบัติตาม พระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติพ.ศ.2504 หรือพระราชบัญญัติสงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าพ.ศ.2535 อยู่แล้ว จะกลัวอะไรกันนักหนา
ถึงคราวที่ผมต้องลุกขึ้นค้านบ้าง ผมจึงย้อนขึ้นว่า ตามมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติป่าชุมชน กล่าวว่า หากเกิดกรณีพิพาทใดๆให้ใช้ปฏิบัติตาม พระราชบัญญัตินี้ นั่นหมายความว่า มาตรา 3 คือ เจตนารมณ์แห่งพระราชบัญญัติป่าชุมชน แม้มาตรา 6 กำหนดเช่นที่กล่าวแต่ถ้าเกิดกรณีพิพาทระหว่างป่าชุมชนกับป่าอนุรักษ์ ก็ให้ใช้ตาม พรบ.ป่าชุมชน
จึงยอมมิได้ที่จะกำหนดมาตรา 6 ให้กำหนดป่าอนุรักษ์เป็นป่าชุมชนได้ เป็นข้อความลวงหลอกตามตัวหนังสือ ทันทีที่พระราชบัญญัติป่าชุมชนประกาศใช้ พื้นที่ที่ถูกกำหนดเป็นป่าอนุรักษ์จะสลายไปโดยเจตนารมณ์ของพรบ.ป่าชุมชนตามมาตรา 3 ทันที
ผมคัดค้านมาตรา 3 แห่งพระราชบัญญัติป่าชุมชน ด้วยว่าพี่ชายผมเป็นผู้พิพากษาคนหนึ่ง ชื่อ มงคล เปาอินทร์ (อดีตตุลาการรัฐธรรมนูญ 2 สมัย คณะกรรมการ ปปช.2 สมัย) เป็นผู้ที่ผมนำร่าง พรบ.ป่าชุมชนไปให้อ่านและพิจารณา จึงได้รู้ว่า เขาเขียนหลอกพวกมึง ประกาศใช้เมื่อไร เขาใหญ่ ห้วยขาแข้ง ไม่เหลือ ถ้า NGOsจะประกาศเป็นป่าชุมชน เสร็จเขาแน่ๆ ต้องค้านมาตรานี้ เพราะว่ามาตรา 3 คือเจตนารมณ์ของกฎหมายทุกฉบับ เช่นที่พรบ.อุทยานแห่งชาติพ.ศ.2504 ก็กำหนดเช่นนั้น
ดังนั้นเมื่อผมโต้แย้งได้ดังกล่าว เจ้าหน้าที่บันทึกเทปไว้ และจดบันทึกชัดเจน ในที่สุดพระราชบัญญัติป่าชุมชนฉบับหลังจึงไม่มีมาตรา 3. กำหนดเจตนารมณ์ดังกล่าว ป่าอนุรักษ์ทั่วประเทศปลอดภัย ไม่มีการประกาศป่าชุมชนในพื้นที่ป่าอนุรักษ์แต่อย่างใด เป็นความภูมิใจที่ผมมีพี่ชายเป็นผู้พิพากษาคอยให้คำปรึกษาเมื่อผมไม่รู้หลักกฎหมายใดๆ
ถ้าไม่ได้เห็นภาพจากเพื่อนสุเทพ พวงมะโหด สื่อมวลชนอาวุโส(หนวดหงอก) ถ่ายมาจากประเทศจอร์เจีย โพสท์ให้ดูในเฟส และถ้าไม่ได้เห็นรูปป่าต้นน้ำเมืองน่านที่ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมจังหวัดน่าน ท่านประสิทธิ์ พัฒนใหญ่ยิ่ง ถ่ายลงเฟสให้ดู ตาแก่คนนี้ก็คงลืมเรื่องราวการเปิดเวทีสาธารณะเรื่องพระราชบัญญัติป่าชุมชนครั้งนั้นไปแล้ว ขอบคุณที่ทำให้คนแก่รำลึกถึงความหลังได้อีกครั้ง นะจ๊ะ
ประเทศไทยต้องมีป่าต้นน้ำปกคลุมขุนเขาเขตป่าต้นน้ำแต่ละลุ่มน้ำไม่น้อยกว่า 25-40% นั่นแหละ จึงจะมีผลกระทบที่ทำให้มีน้ำไหลลงที่ต่ำอย่างสม่ำเสมอ มีคุณภาพดีสะอาดปราศจากสารพิษปนเปื้อน มีอย่างพอเพียงให้ใช้ได้ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำและปลายน้ำ และประการสำคัญมีให้ใช้ได้สม่ำเสมอตลอดเวลา