คึดฮอดเมืองลาว
ตอน 8
เจ้าราชครูหลวง โพนสะเม็ก (ญาครูขี้หอม)
กษัตริย์แห่งนครจำปาศักดิ์
“เอื้อยนาง”
ไปไหว้พระธาตุศรีโคตรบูร เมืองท่าแขกเก่าแล้วทำให้คิดถึง พระธาตุอิงฮัง พระธาตุพนม ที่มีลักษณะรูปทรงคล้ายกัน และมีตำนานการก่อสร้างที่เอ่ยถึงในอุรังคนิทาน(ตำนานพระธาตุพนม) เช่นกัน
พระธาตุอิงฮังนั้นตั้งอยู่ฝั่งซ้าย ในแขวงสะหวันนะเขตปัจจุบัน ส่วนพระธาตุพนมนั้นอยู่ฝั่งขวา จังหวัดนครพนม
ตำนานพระธาตุพนม และอาณาจักรศรีโคตรบูร (สีโคดตะบอง-ลาว) เป็นสิ่งแสดง บ่งบอก ให้รู้ถึงความรุ่งเรืองทางพุทธศาสนา และอาณาจักรในแถบลุ่มน้ำโขงตอนกลาง ตั้งแต่เวียงจันทน์ลงไปจนถึงในดินแดนเขมร ประวัติศาสตร์ที่มองเห็นความเคลื่อนไหว อพยพไปมาของผู้คนบนสองฝั่งโขง ที่มีพระพุทธศาสนานำพาจิตวิญญาณ
เพราะมนุษยน์นั้น ประกอบด้วยสองสิ่ง คือ ร่างกาย และจิตวิญญาณ ประกอบกันจึงจะเป็นสัตว์ประเสริฐกว่าสัตว์ทั้งปวงในโลก ผู้นำทางจิตวิญญาณในความเชื่อ ในศาสนาอาจแตกต่างตามยุคสมัย แต่จารึกไว้ว่ามีมาแต่โบราณกาลแล้วค่ะ
คึดฮอดเมืองลาวเที่ยวนี้ก็เลยจะพาไปรู้จักรพระสงฆ์ผู้ยิ่งใหญ่ ผู้นำพาผู้คนอพยพหนีจากภัยการเมืองที่วุ่นวายในเวียงจันทน์ อพยพตามลำน้ำโขงไปจนถึงแดนเขมร และสุดท้ายท่านได้รับมอบราชอาณาจักรแห่งนครจำบาคนาคบุรีศรีให้ปกครอง เพื่อยังความร่มเย็นเป็นสุขแก่ปวงชน ท่านจึงเป็นพระสงฆ์ผู้เป็นกษัตริย์ทางโลกด้วย
ท่านเป็นผู้มาบูรณะพระธาตุพนมในครั้งแรก ๆ และรักที่นี่มากได้สั่ง ลูกหลาน และญาติโยมไว้ว่า เมื่อท่านดับขันธ์ไปแล้วให้นำอัฐิของท่านมาไว้ที่นี่ จึงปรากฏมีเจดีย์ญาครูขี้หอม (นามที่ลูกหลาน ลูกศิษย์ลูกหา และญาติโยม ใช้เรียกท่าน) และรูปหล่อเท่าองค์จริงไว้เป็นที่สักการบูชาให้ผู้มานมัสการพระธาตุพนมได้กราบไว้ ระลึกถึงท่าน ตั้งอยู่ด้านทิศเหนือของพระธาตุพนม
เจ้าราชครูโพนสะเม็ก
เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็กเป็นที่รู้กันในชื่ออื่น ๆ เช่น ญาครูขี้หอม หลวงพ่อขี้หอม พระครูยอดแก้วโพนสะเม็ก เป็นต้น ท่านเป็นพระสงฆ์ที่มีบทบาทสำคัญในชุมชน และการเมืองสองฝั่งโขงยุคสมัยของพระเจ้าสุริยวงศาธรรมมิกราชครองกรุงเวียงจันทน์ มีตำนานและเรื่องราวอันแสนพิสดารของท่านเล่าขานกันมาปากต่อปากจนมีการจดบันทึกในพงศาวดารทั้งของลาวและสยาม
เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็กกำเนิดที่บ้านกะลึม เมืองพาน(ปัจจุบันอยู่ในเขตอำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี) เมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๑๗๔ (ตรงกับสมัยพระเจ้าสุริยวงศาธรรมมิกราชแห่งล้านช้างเวียงจันทน์) ได้บวชเป็นสามเณรกับพระครูลืมบอง อายุได้ ๑๓-๑๔ปีจึงได้เข้าไปอยู่ในเวียงจันทน์กับพระครูยอดแก้ว ศึกษา ท่องบ่นสวดมนตร์ต่าง ๆ จนถึงพระปาฏิโมกข์ วินัยสงฆ์ทั้งหมด จดจำได้อย่างรวดเร็ว แม่นยำ
ท่านพระครูยอดแก้วได้สอนเนื้อหาในพระไตรปิฎกตั้งแต่ธรรมบทภาคแรกถึงภาคแปดเณรก็จำได้ทั้งหมด พระครูจึงได้นำหีบหนังสือจากหอไตรทั้งหมดยกมาให้เณรเรียน เณรก็เรียนรู้ได้ทั้งหมด มีความรู้แตกฉานในพระธรรมวินัยตั้งแต่ยังเป็นเณร จนกิตติศัพท์เลื่องลือไปถึงพระเจ้ากรุงเวียงจันทน์ ทรงเลื่อมใสและจัดผ้าไตรมาถวาย ยกย่องให้เป็นซาจัว (ซา-พระราชา,จัว-เณร)
ครั้นซาจัวอายุครบ ๒๐ ปี พระเจ้ากรุงเวียงจันทน์ และพระครูยอดแก้วผู้อาจารย์จึงจัดพิธีอุปสมบทให้อย่างพิเศษยิ่งใหญ่ หนึ่งปีต่อมา พระภิกษุใหม่ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบนี้จึงเลื่อนขึ้นเป็นพระครู จำพรรษาที่วัดโพนสะเม็ก คนทั้งหลายจึงเรียกพระครูโพนสะเม็กแต่นั้นมา
พระครูโพนสะเม็กสะสมบารมีเป็นที่พึ่งของคนทั่วไป ได้รับความรัก ความศรัทธามากมายจึงได้เลื่อนขึ้นเป็นเจ้าราชครู คนทั้งหลายยังเรียกท่านว่า เจ้าราชครูโพนสะเม็ก
ปี พ.ศ. ๒๒๓๓ พระเจ้าสุริยวงศาธรรมมิกราชเสด็จทิวงคต พระโอรส คือ เจ้าองค์หล่อยังทรงพระเยาว์ (ชนมายุ ๑๓ พรรษา) พระนางสุมังคลามเหสีกำลังทรงพระครรภ์ พระยาแสนเมืองเสนาบดีฝ่ายขวา ทำการชิงราชสมบัติ ผู้จงรักภักดีคุ้มครองเจ้าองค์หล่อหนีไปพึ่งญวณ ส่วนพระนางสุมังคลาพร้อมคนสนิทหนีมาพึ่งเจ้าราชครูโพนสะเม็ก (ตอนนั้นได้เลื่อนเป็นพระครูยอดแก้ว)ด้วยท่านมีลูกศิษย์ ลูกหา ญาติโยมเยอะ เป็นที่พึ่งได้ และพระนางไม่ยินยอมตกเป็นมเหสีของพระยาเมืองแสน เจ้าราชครูโพนสะเม็กจึงจัดการให้พระนางพร้อมบริวารจำนวนหนึ่งไปอยู่ที่ “ภูสะง้อหอคำ” เมื่อพระนางคลอดพระโอรสออกมา ได้นามว่า “เจ้าหน่อกษัตริย์”
เหตุการณ์ในเวียงจันทน์ช่วงนี้วุ่นวาย พระยาเมืองแสนถูกฆ่าตาย เจ้าองค์หล่อได้สืบราชสมบัติแทนพระบิดา ผู้อยู่เบื้องหลังแบ่งเป็นฝักเป็นฝ่าย เจ้าราชครูฯซึ่งมีบริวารมากไม่อยากเป็นฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด จึงได้อพยพกันออกจากเวียงจันทน์ นำพระนางสุมังคลา พร้อมเจ้าหน่อกษัตริย์ไปอยู่บ้าน “งิ้วพันลำโสมสนุก” ส่วนตนเองพร้อมผู้ติดตาม ๓,๐๐๐ คน เดินทางเรื่อยไปจนถึงแดนเขมร
ระหว่างการเดินทางนี้เอง ท่านราชครูฯและสานุศิษย์ได้สร้างบ้านเมือง ก่อตั้งวัดวาอารามหลายแห่ง เพราะมีผู้ศรัทธาสวามิภักดิ์มากมาย ไปพัก ณ ที่ใดก็มีผู้ติดตามมาตั้งบ้านเรือนขึ้นพักพิงอยู่ด้วย ครั้นท่านย้ายต่อไปก็มีทั้งผู้พอใจจะติดตาม และยังอาศัยทำมาหากินอยู่ที่เดิม ไปมาหาสู่กันในยามต้องการ จึงมีบ้านเมือง ชุมชนลาวเกิดขึ้นตามมาตลอดสองฝั่งโขง และลำน้ำสาขา นี่เองท่านจึงได้มีโอกาสมาบูรณะพระธาตุพนมดังกล่าว
ศรัทธาบารมีของประชาชนที่มีต่อเจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็กนับวันยิ่งมากขึ้น จนกระทั่งท่านได้รับนิมนต์ขึ้นเป็นพระราชา ปกครองเมืองนครจำบากนาคบุรีศรี ซึ่งช่วงนั้นมีแต่ กษัตรีเป็นผู้ปกครองเมืองอยู่ พระครูเข้าจัดการบ้านเมืองเรียบร้อยแล้วจึงให้คนไปเชิญเสด็จ เจ้าหน่อกษัตริย์ จากบ้านงิ้วพันลำโสมสนุกมาครองนครจำบากนาคบุรีศรี ทรงพระนามว่า เจ้าสร้อยศรีสมุทรพุทธางกูร เปลี่ยนชื่อนครจำบากนาคบุรีศรีเป็น นครจำปาศักดิ์ แต่นั้นมา และราชอาณาจักรลาวก็มี อาณาจักรจำปาศักดิ์เพิ่มขึ้นอีกรวมเป็น ๓ อาณาจักรดังกล่าว
อาณาจักรจำปาศักดิ์ได้แผ่ขยายออกไปมากมายโดยการส่งผู้คน ศิษยานุศิษย์ของท่านพระครูฯออกไปสร้างเมืองใหม่ ๆ ทั้งสองฟากลำน้ำโขง และยังมีสัมพันธไมตรีกับเขมรโดยการไปขอพระราชธิดาแห่งกรุงเขมรมาเป็นมเหสีของเจ้าสร้อยศรีสมุทรฯ ส่วนเจ้าราชครูฯก็ดำรงตำแหน่งทางฝ่ายสงฆ์บำรุงพุทธศาสนา หล่อพระพุทธรูป สร้างวัดวาอารามหลายแห่ง รวมถึงได้บูรณะพระธาตุพนมด้วย
ปัจจุบันยังมีผู้เคารพเลื่อมใส และรำลึก ท่านอยู่ไม่น้อย หากใครได้ไปนมัสการพระธาตุพนม คงได้เห็นรูปหล่อเท่าองค์จริงของท่านยืนสง่า เหลืองอร่ามอยู่ทางด้านทิศเหนือของพระธาตุพนม วัดพระธาตุพนม ริมฝั่งแม่น้ำโขง เป็นหลักฐานให้รำลึกถึงผู้นำจิตวิญญาณของปวงชนชาวพุทธสืบมา
๐๐๐๐๐๐