พระราชนิเวศน์ มฤคทายวัน
“สาวภูไท”
หมู่อาคารที่วางตัวเรียงตามชายหาดริมทะเล สร้างด้วยไม้ใต้ถุนโปร่ง แบบไทยผสมยุโรปสีหวานละมุน ตั้งอยู่ท่ามกลางแมกไม้ร่มรื่น และสนามหญ้าเขียวขจีนั้นคือ
หมู่พระตำหนัก มรดกทางสถาปัตยกรรมล้ำค่าของชาตินาม พระราชนิเวศน์มฤคทายวัน
พระตำหนัก สีหวานชวนฝันแห่งนี้หันหน้าออกสู่ทะเลรับลม เคยได้รับการขนานนามว่า ”พระราชนิเวศน์แห่งความรักและความหวัง” ตั้งอยู่ในบริเวณค่ายพระรามหก ตำบลห้วยเหนือ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี
ชาวคณะของเรามาถึงเมื่อสาย ๆ แดดจ้าแจ่ม เพื่อนหลายคนรวมทั้งฉันด้วยต้องเช่าร่มคันละ ๑๐ บาทเพราะต้องเดินเข้าในส่วนที่เป็นพระตำหนัก เช่นเดียวกับนักท่องเที่ยวอื่น ๆ ซึ่งมีมากมายทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ หลายคนเช่าจักรยานขี่ไป เพราะในบริเวณค่ายมีป่ากว้างใหญ่จัดแบ่งส่วนให้เป็นที่ท่องชม และศึกษาธรรมชาติในป่าริมทะเลด้วย
แหนวกับเพื่อนบางคนบอกว่าเคยมาชมพระตำหนักนี้บ่อยครั้งแล้ว จึงพอใจจะเดินดูสินค้า ของที่ระลึกคอยอยู่ในส่วนทางเข้า ฉันคิดว่าเพราะมีสินค้าสวย ๆ งาม ๆ ชวนซื้อด้วยนั่นแหละ แถมมีร้านอาหารใต้ร่มไม้ให้นั่งหลบแดดอีกด้วย ฝ่ายจัดการของเพื่อนเราคุณเวไนย คุณนิคมรีบไปจัดการเรื่องบัตรผ่านสำหรับเพื่อน ๆ คนที่ต้องการเข้าชมพระตำหนัก
แดดจ้าก็จริงแต่ถนนสู่พระตำหนักตัดตรงผ่านป่าร่มครึ้ม ริมถนนสองข้างมีทิวไม้ดอก ไม้ใบ สวยแปลกเรียงรายส่ายไหวเป็นทิวแถว เป็นเส้นแบ่งระหว่างป่ากับถนนทางเดิน กลิ่นหอมของดอกไม้โชยกรุ่นมาต้อง ตั้งแต่ก้าวแรกที่ผ่านประตูใหญ่เข้ามา เสียงนกบางชนิดทักทายลงมาจากต้นไม้สูง ๆ เสียดายไม่เข้าใจภาษาของมัน ไม่งั้นคงได้รู้ว่ามันดีใจ หรือรำคาญใจกันแน่ที่มีผู้คนมากมายเดินไปมาไม่ขาดสายอย่างนี้
เกือบจะสุดถนนซึ่งมุ่งตรงสู่ทะเล ถึงซุ้มประตูเข้าสู่บริเวณที่ตั้งพระตำหนักซึ่งอยู่ทางขวามือ กำลังจะเลี้ยวเข้าไปเห็นคุณนิคมกวักมือเรียกอยู่ข้างหน้าบอกว่าฉันต้องเอาบัตรประจำตัวไปแลกผ้าห่มคลุม เพราะวันนี้ฉันสวมเสื้อแขนสั้นกุดมา ฝรั่งหลายคนทำท่าไม่เข้าใจเจ้าหน้าที่ที่ซุ้มต้องคอยอธิบาย ฉันได้ผ้าฝ้ายทอมือสีเหลืองสดใสมาคลุมไหล่ ซึ่งก็ดีไม่น้อยกันแดดไปในตัวด้วย
ที่ประตูทางเข้าสู่บริเวณเป็นพระราชนิเวศน์มฤคทายวันมีส่วนที่เป็นห้องจัดแสดง และจำหน่ายสินค้า ของที่ระลึก สวยงาม ฝีมือประณีตให้แวะชมสำหรับผู้สนใจ ก่อนจะผ่านทะลุสู่เงาแมกไม้ อันเป็นเสมือนด่านแรกที่จะเข้าชมความงามแห่งสถานที่ที่ครั้งหนึ่งเป็นที่ประทับของพระมหากษัตริย์ พร้อมฝ่ายในและเหล่าข้าราชบริพาร
ทันทีที่เดินผ่านประตูเข้ามา ที่จัดไว้สวยงามเป็นกลุ่มเป็นซุ้ม มีชื่อตามเรื่องในวรรณคดีที่เป็นพระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ เสียงดนตรีไทยสำเนียงเสนาะดังแว่วมาให้ได้ยิน ฉันรีบเดินตามเพื่อนหลบลอดแมกไม้จนผ่านทะลุสู่บริเวณทางเดินผ่านสนามหญ้าสีเขียวขจีที่โอบล้อมพระตำหนักสีหวานทางด้านขวามือ ส่วนทางซ้ายเป็นด้านสู่ทะเลมีแนวรั้วแห่งริ้วดอกไม้บานไสวอวดสีสัน
ด้านล่างของพระตำหนักองค์แรกนั่นคือที่มาแห่งเสียงสำเนียงเสนาะ เพราะนักร้องนักดนตรีไทยวงใหญ่นั่งบรรเลงเพลงไทยเดิม ทำนองพลิ้วหวานให้นักท่องเที่ยวผู้มาเยือนได้ยินยล
เห็นแล้วให้นึกกระหวัดถึงพระองค์ท่านผู้เป็นเจ้าพระราชนิเวศน์นี้ขึ้นมาทันที ไม่แปลกใจเลยว่าทรงเป็นกวีเอก ทรงรักการดนตรี การประพันธุ์ ได้ทรงพระราชนิพนธ์กลอนที่เอ่ยถึงความสำคัญของดนตรีไว้ในบทละคร
ชนใดไม่มีดนตรีการ ในสันดานเป็นคนชอบกลนัก
อีกใครฟังตนตรีไม่เห็นเพราะ เขานั้นเหมาะคิดกบฏอัปลักษณ์..."
ใช่แล้วค่ะ พระราชนิเวศน์มฤคทายวันแห่งนี้ เป็นพระตำหนักที่ประทับพักผ่อนริมทะเลที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๖ โปรดให้สร้างขึ้นในปี ๒๔๖๖ และแล้วเสร็จในปี ๒๔๖๗ ก็ ๘๖ ปีมาแล้ว
ก่อนนั้นมีตำหนักที่ประทับริมทะเลที่ทรงโปรดมากอยู่ที่หาดเจ้าสำราญ ใกล้เพชรบุรี แต่พระตำหนักนั้นอยู่ไม่ห่างจากหมู่บ้านชาวประมงมากนักทำให้ข้าราชบริพารบ่นว่ามีแมลงวันเยอะ และกลิ่นไม่ดีด้วย จึงทรงโปรดให้รื้อพระตำหนักที่หาดเจ้าสำราญมาปลูกใหม่ที่นี่ซึ่งเดิมเป็นป่าเขาห่างจากชุมชน พระองค์โปรดเกล้าฯให้แบ่งพื้นที่เพียงส่วนน้อยติดทะเลเป็นเขตพระราชนิเวศน์ ส่วนพื้นที่ส่วนใหญ่ที่เหลือให้คงสภาพธรรมชาติไว้ให้เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าที่มีมาแต่เดิม ทั้งให้ประกาศเป็นเขตอภัยทานด้วย เป็นบริเวณที่เคยมีสัตว์ป่าชุกชุม โดยเฉพาะกวาง ซึ่งเป็นที่มาของชื่อ มฤคทายวัน
หมู่พระตำหนักประกอบด้วยพระที่นั่งสามองค์ต่อเชื่อมกันตลอด คือ
พระที่นั่งสุนทรพิมาน พระที่นั่งไพศาลสาคร และ พระที่นั่งสโมสรเสวกามาตย์
ทั้งหมดเป็นอาคารไม้ ใต้ถุนโปร่งโล่ง หลังคามุงด้วยกระเบื้องสี่เหลี่ยม พื้นล่างเป็นซีเมนต์ ต่อเชื่อมถึงกันด้วยระเบียง และบันได
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงร่างแผนผังการก่อสร้างด้วยพระองค์เอง โดยมีเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) เสนาบดีกระทรวงมหาดไทยเป็นผู้อำนวยการสร้าง เสร็จแล้ว เคยเสด็จมาประทับที่นี่ ๒ ครั้ง คือในปี๒๔๖๗ และ ปี ๒๔๖๘ ซึ่งเป็นปีสุดท้ายก่อนเสด็จสวรรคต
หลังจากนั้นพระราชนิเวศน์ มฤคทายวันก็ถูกปล่อยทิ้งร้าง จนกระทั่งได้มีการบูรณะขึ้นใหม่ตามรูปแบบเดิมทั้งหมด เสร็จสมบูรณ์เมื่อปี ๒๕๓๗ ปัจจุบันเปิดให้ประชาชนเข้าเยี่ยมชมได้ทุกวันเวลา 08.30-16.30 น.เว้นวันพุธค่ะ