หากเด็กเป็นฟองน้ำก้อนหนึ่ง
“เอื้อยนาง”
“หากเด็กเป็นฟองน้ำก้อนหนึ่ง
แล้วเขาจะซับเอาน้ำแบบไหน
ในท่ามกลางน้ำขุ่น น้ำใส น้ำเน่า น้ำหนอง...
ที่เจิ่งนอง ท่วมท้นอยู่รอบตัวเขา...”
คุณอรพิน จำปาเนตร
วลีสะดุดใจนี้เป็นคำพูดของ คุณธวัชชัย ไทยเขียว อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน บนเวทีสนทนาหัวข้อ “กระบวนการยุติธรรมสำหรับเด็กและเยาวชนที่ต้องหาว่ากระทำความผิด” จัดโดย คณะทำงานด้านการยุติธรรม สิทธิมนุษยชนและธรรมภิบาล สภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ วันที่ ๑๐ กันยายน ๒๕๕๓ ที่ผ่านมา ณ ห้องประชุม ๑ ชั้น ๓ สำนักงานสภาที่ปรึกษาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ในช่วงนี้คงไม่มีข่าวใดที่ให้ความรู้สึกกระเทือนใจแก่ผู้คนในบ้านในเมืองเราได้เท่ากับ ข่าวความโหดร้าย รุนแรง ไร้จิตสำนึกของเด็ก ที่เกิดขึ้นถี่ ๆ นี้ได้อีกแล้ว สร้างความห่วงใยอนาคตภายหน้าให้แก่ผู้ใหญ่จนหลายฝ่ายนิ่งเฉยอยู่ไม่ได้ มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์เรียกร้องกับผู้เกี่ยวข้อง ผู้รับผิดชอบ ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครอง สถานศึกษา หรือเจ้าหน้าที่ของรัฐ
คณะทำงานการยุติธรรมสภาที่ปรึกษาฯ มีนายสุทธินันท์ จันทระ เป็นประธาน และกรรมการ ๒๑ คน มีนาง อรพิน จำปาเนตร เป็นเลขานุการได้เล็งเห็นความสำคัญของปัญหาความรุนแรงของเด็กและเยาวชนที่ปัจจุบันมีแนวโน้มกระทำผิด และถูกละเมิดสิทธิ รวมทั้งตกเป็นเหยื่ออาชญากรรมมากขึ้นทุกวัน โครงการเสวนาในวันนี้จึงเกิดขึ้น โดยเชิญวิทยากรผู้มีประสบการณ์เกี่ยวข้อง และผู้เข้าร่วมเสวนาจากทุกภาคส่วน เพื่อสรุป วิเคราะห์ สังเคราะห์ร่วมกันเสนอแนะการแก้ไขเป็นเชิงนโยบายต่อไป มีวิทยากรบนเวที คือ
นาย เผดิม เพ็ชรกูล รองอธิบดีผู้พิพากษาศาลเยวชนและครอบครัวกลาง
นาย ธวัชชัย ไทยเขียว อธิบดีกรมพินิจและคุ้มครองเด็กและเยาวชน
นาง ทิชา ณ นคร ผู้อำนวยการศูนย์ฝึกและอบรมเด็กและเยาวชนชายบ้านกาญจนาภิเษก
นาง ปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณาหงสกุลเพื่อเด็กและสตรี
พ.ต.อ.ศรายุทธ พูลธัญญะ รองผู้บังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์
ดำเนินรายการโดย นายบุญเลิศ คชายุทธเดช(ช้างใหญ่)บรรณาธิการอาวุโสหนังสือพิมพ์มติชน
เริ่มต้นด้วยตัวแทนฝ่ายตำรวจ ท่าน พ.ต.อ.ศรายุทธ พูลธัญญะ ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับการกระทำผิดของเด็กและเยาวชน ซึ่งมีตั้งแต่ความผิดเล็กน้อย เช่นลักขโมยไปจนละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาค้าซีดีเถื่อน ค้ามนุษย์ เป็นโสเพณี ยกพวกตีกันถึงขั้นก่ออาชญากรรม โดยสาเหตุส่วนใหญ่มาจากครอบครัว สิ่งแวดล้อม พ่อแม่ไม่มีเวลาดูแลลูก และส่วนมากเมื่อลูกถูกจับมักพูดว่าลูกของตนอยู่บ้านเป็นเด็กดีมาก มักโทษคนอื่น โทษครู โทษเพื่อนของเด็ก...โดยไม่ตอบคำถามว่าเด็กซิ่ง เด็ก
แว้นครูซื้อมอเตอร์ไซค์ให้ขับหรือเปล่า...เรื่องทั้งหลายสามารถป้องกันได้หากทุกฝ่ายทำความเข้าใจและร่วมมือ การป้องกันย่อมดีกว่าการปราบปราม
คุณ ธวัชชัย ไทยเขียว มาวันนี้ขอพูดในฐานะตัวแทนเด็ก ด้วยตัวเองก็เคยเป็นเด็กมาก่อน ผู้ใหญ่ทุกคนล้วนเคยเป็นเด็ก แต่ไม่มีเด็กคนไหนเคยเป็นผู้ใหญ่มาก่อนเลย เด็กก็ยังเป็นเด็ก ผู้ใหญ่ต่างหากที่เปลี่ยนไป ผู้ใหญ่ทำให้ สังคมและ สิ่งแวดล้อมเปลี่ยนไป ทำให้ศาสนา วัฒนธรรม ประเพณีมันหลวมไปหมด อุปมาเด็กเป็นฟองน้ำก้อนหนึ่งแล้วเขาจะซึมซับเอาน้ำแบบไหนในขณะน้ำใสมีน้อยกว่าน้ำน้ำเสีย เด็กทุกวันนี้ขาดการทำความเข้าใจจากผู้ใหญ่ ไม่สน ใจ ไม่เข้าใจจิตวิทยาพัฒนาการเด็ก ถูกทิ้งขว้างด้วยผู้ใหญ่ไม่มีเวลา จึงขาดความภูมิใจในตัวเอง ไม่มีความหวัง ก้าวร้าว โทษคนอื่น สถานพินิจคือปลายเหตุซึ่งแบกรับปัญหาสารพัดในขณะงบประมาณมีเพียงน้อยนิด
คุณ เผดิม เพ็ชรกูล ก็มองว่าปัญหาของเด็กส่วนมากมาจากครอบครัว และตัวโครงสร้างของศาลเยาวชนและครอบครัวเองที่ทำให้ผู้ปฏิบัติงานไม่สามารถสั่งสมองค์ความรู้ให้ชำนาญใช้กับงานได้อย่างเต็มที่ มากกว่า ๙๕% ของเด็กและเยาวชนที่ทำความผิดมาจากครอบครัวที่มีปัญหา
คุณ ปวีณา หงสกุล บอกว่าเด็กที่ทำความผิด เด็กที่ถูกกระทำทุกวันนี้อายุน้อยลงทุกที เชื่อหรือไม่ เด็กที่ถูกข่มขืนอายุต่ำสุดแค่ ๔ เดือน เป็นเรื่องน่าเศร้าอย่างยิ่ง และมีแปลก ๆ ขึ้นทุกวัน หลาย ๆ กรณีเอาตัวอย่างจากสื่อ จากละคร เด็กผู้หญิงบางคนเป็นแม่เล้าเสียเอง นักเรียนชายรุมโทรมนักเรียนหญิง ขณะนักเรียนก็มีแก๊งรุมทำร้ายกัน บางคนที่เป็นเด็กดี ครอบครัวเอาใจใส่ดี และมีหน้าตาดี เรียนเก่งเลยโดนเขม่นจากรุ่นพี่ ถูกจับตัวมารุมจิกรุมทำร้ายปางตาย สังคมมันเสื่อมโทรมขนาดนี้ ปัญหาทุกอย่างคืองบประมาณของทางราชการที่เข้าไปไม่ถึง แผนพัฒนาแห่งชาติที่ผ่านมาพัฒนาระยะแรก ๆ เน้นแต่เศรษฐกิจไม่เน้นสังคม ต่อไปแผนสิบเอ็ดต้องจริงใจ พอเพียงและเพียงพอ
คุณ ทิชา ณ นคร ถามว่าเด็กพกเอาความก้าวร้าวมาจากท้องแม่หรืออย่างไร ศาลคดีเด็กและเยาวชนตั้งมาตั้งแต่ ๒๔๙๕ เป็นต้นมา จุดมุ่งหมายที่ตั้งมาเป็นการวินิจฉัยเด็กผิด ผิดแม้แต่ระบบการศึกษา เป็นความล้มเหลวของรัฐ ครอบครัว สังคม...ระบบการศึกษามัวแต่สรรหาเด็กเก่ง บ้าเรียน ไม่ยอมรับความหลากหลาย อุดมการณ์ของโรงเรียนเป็นเหตุ เด็กจำนวนมากกว่าเป็นผู้แพ้ ต้องมาเป็นลูกค้าของกรมพินิจ เด็กมีแต่เรื่องราวที่เขาไม่ภาคภูมิใจ ที่บ้าน ที่โรงเรียน ที่วัด มีที่ไหนให้เด็กยืนอยู่ได้อย่างภาคภูมิใจบ้างในประเทศไทย การตีความเด็กอย่างถูกต้อง ชัดเจนจึงเป็นความจำเป็น เด็ก ๆ ก็มีด้านสว่าง เช่นเดียวกับพ่อแม่แต่เราค้นหาด้านนี้กันเจอหรือเปล่า หรือไม่อยากค้นหา
วิทยากรทุกท่านให้ข้อมูลที่ลึก และมากมายจนอยากให้ใคร ๆ ทุกคนในสังคมนี้ได้ร่วมรับฟัง เพราะการเก็บความมาได้ก็ไม่หมดแน่นอน สำหรับเอื้อยนางแล้ว นับแต่เคยเข้าร่วมประชุม อบรม เสวนามาก็ไม่น้อย แต่ไม่เคยมีครั้งใดที่ให้ความรู้สึกปวดร้าวไปกับสังคมไทยในวันนี้ เชื่อว่าหลายคนก็คงได้เห็น ได้รับรู้สิ่งที่เกิดขึ้นจากการดู การฟัง การอ่านจากสื่อต่าง ๆ กันอยู่แล้ว แต่มีใครบ้างไหมที่ได้พินิจลงไปถึงสาเหตุ ต้นตอของปัญหาทั้งปวง จากอดีตที่เป็นอย่างนั้น มาปัจจุบันที่เป็นอย่างนี้ แล้วอนาคตเล่าสังคมเราจะยืนอยู่ ณ จุดใด หรือผู้ใหญ่ในบ้านในเมือง จะยังคงหลับหูหลับตากินๆ โกงๆ กัดๆ กันอยู่อย่างนั้นต่อไป โดยโยนภาระหน้าที่ให้ตำรวจ ศาล สถานพินิจไม่ยอมลืมตาขึ้นมามอง
ฤานี่เป็นโอกาสที่เท่าเทียม ที่ทุกคนใฝ่หา
ฤาว่าจะถึงกาลเวลาแล้ว สำหรับสังคมไทย
อย่าลืมว่า คนดี คนเลว คนจน คนรวย ในทุกวินาที ณ ขณะนี้มีโอกาสโดนผลกระทบได้เท่าเทียมกัน
ขอบคุณคณะวิทยากร และสภาที่ปรึกษาฯที่ได้พยายามเขี่ยขี้ไต้ที่กำลังติดเกรอะกรังอยู่กับดวงไฟให้ค่อย ๆ ราแสงไปสู่ความมืดมิดกะพริบวิบวับขึ้นมาบ้าง
แต่ก็นั่นแหละ ขึ้นอยู่กับการมองอย่างที่คุณ ทิชา ณ นครได้ว่าไว้
และเอื้อยนางก็ว่า ถ้ามุมมองอย่างข้อเสนอจากบางความเห็นในสังคมที่ว่า ส่งไปภาคใต้เลยเด็กไม่ดีพวกนั้น ข้าราชการไม่ดีส่งไปชายแดนอีสานเลย ช่างน่าอัปยศและดูถูกคนจนไม่น่าให้อภัย อะไรที่เน่าๆ โยนไปให้เขา คิดหรือว่าคนใต้ คนชายแดนอีสานไม่มีหัวใจ
๐๐๐๐๐