พม่า..ไม่ไปไม่รู้
“เอื้อยนาง”เรื่อง/ภาพ
ตอน๑. เพียงข้ามขุนเขา จากเจ้าพระยา ถึง อิรวดี
เพราะประวัติศาสตร์ เพียงแต่บันทึกถึงความขัดแย้งและสงคราม เราจึงรับรู้ประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศพม่าว่าเคยเป็นผู้รุกราน จนมีถ้อยคำเรียกขานว่า “พม่าข้าศึก” นอกจากนั้นยังมีท่าทีเหยียดหยามที่นักบันทึกประวัติศาสตร์สมัยก่อนของสยามที่มีต่อลาว เขมร ญวน พม่า แขก กระทั่งเจ๊กจีน ทำให้ผู้เรียนรู้ตามตำราประวัติศาสตร์ชาติไทย(สยาม)ทั้งหลาย มีสายตาต่อเพื่อนบ้านด้วยความหลงตนเองตลอดมา โดยไม่เคยคิดจะมองในมุมกลับกันบ้างเลยว่าเป็นเช่นไร
ลุ่มน้ำอิรวดีในวันฝนพรำ
อย่างพม่านี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่เขาปิดประเทศ เราคนไทยก็ได้ยิน ได้รับรู้แต่ข่าวด้านลบซะมากกว่า ทำให้เกิดกระหายใคร่ได้รู้ได้เห็นว่าเป็นเช่นนั้นละหรือ แล้วคนเขาจะอยู่กันอย่างไรได้หนอ ถึงไงความรับรู้ที่ว่ามีบรรพบุรุษชาวอยุธยาไม่น้อยที่ถูกกวาดต้อนไปในช่วงกรุงนั้นแตก เลยทำให้ค้างคาใจอยากไปเยี่ยมเยือนอยู่ร่ำๆ ตลอดมา เมื่อมีโอกาสรัฐบาลพม่าเปิดประตูประเทศต้อนรับนักท่องเที่ยว จึงมีคนไทยทยอยหลั่งไหลเอาเงินไปใช้จ่ายในพม่าวันละไม่น้อยทีเดียว
เปิดประตูสู่พม่าที่สนามบิน..เห็นสาวพม่านุ่งโสร่ง
วันที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๕๓ เอื้อยนางก็จึงได้ติดกลุ่ม JM ทัวร์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้บริหาร เจ้าของสถานศึกษา และนักธุรกิจจากจังหวัดสมุทรปราการ มีน้องชายตัวเอง รองวิทย์ เป็นผู้ประสานงาน ลัดฟ้าจากลุ่มเจ้าพระยา ไปกับ บางกอกแอร์เวย์ ถึง อิรวดีใช้เวลาเพียง ๕๐ นาทีเท่ากับไปอุบลราชธานีบ้านเกิดเท่านั้นเอง นำโดยน้องปุ๋ยสาวไกด์(เอะ...หรือว่าหนุ่ม)ให้ความมั่นอกมั่นใจแก่ลูกทัวร์อีก ๓๐ ชีวิต
เณรน้อยมาบิณฑบาตรถึงที่..ให้ได้ทำบุญพระสงฆ์
มิงกะลาบา : สวัสดี......พม่า
เพียงเครื่องแตะรันเวย์สนามบิน เราก็ได้รับการต้อนรับเย็นชื่นด้วยสายฝนที่โปรยปรายสร้างความหวั่นๆว่าจะถ่ายรูปเก็บไว้ไม่ได้ซะกระมังหนอ แต่ก็ยังนับว่าโชคดีที่ดวงตะวันกับก้อนเมฆผลัดกันทำงาน เมื่อเมฆพาฝนผ่านไปดวงตะวันก็ฉายแสงออกมาส่งยิ้มให้ เช่นกับใบหน้าหนุ่มติ๊ก ไกด์พม่าที่ประดับด้วยรอยยิ้มกุลีกุจอมาต้อนรับพร้อมรถบัสที่จะเป็นพาหนะพาท่องพม่าตลอด ๔ วัน ๓ คืนข้างหน้ามีหนุ่มอองจีเป็นคนขับ และคนรถอีกคนชื่อ นโพควา คอยดูแลเอาใจใส่แม้ฝนตกก็บริการกางร่มให้ทุกคนยามออกเดินโดยไม่เคยแสดงความเบื่อหน่ายให้เห็น
โผล่ออกจากสนามบิน ก็เห็นป้ายอันโตว่า “พม่าแผ่นดินทอง”ยิ้มย่องต้อนรับอยู่ข้างหน้าเลยทีเดียว เรายกกล้องขึ้นถ่ายรูปแม้ขณะรถพาผ่านไป มุ่งสู่ย่างกุ้งซึ่งอยู่ห่างออกไปประมาณสิบกิโลเมตร
ติ๊ก ไกด์หนุ่มผู้มีอัธยาศัยเล่าเรื่องราวของพม่า ทั้งจากประวัติศาสตร์ และตำนานให้ฟังอย่างผู้ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีเยี่ยม ใช้ภาษาไทยได้นุ่มนวลชวนฟังยิ่งกว่าคนไทยเจ้าของภาษาบางคนเสียอีก
เจดีย์ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้ว
ย่างกุ้งเคยเป็นเมืองหลวง แต่ปัจจุบันเป็นเมืองเศรษฐกิจและการท่องเที่ยว เพราะเมืองหลวงย้ายไปอยู่เนปีดอเมื่อปี ๒๐๐๗ แล้ว สถานที่ราชการที่สำคัญและกระทรวงต่าง ๆ ย้ายไป แต่สถานทูต สถานกงสุลของประเทศต่าง ๆ ยังคงอยู่ ย่างกุ้งจึงยังคึกคัก จุดท่องเที่ยวสำคัญ ๆ ที่พาแขกไปไปชมมักเป็นสถานที่สำคัญทางพุทธศาสนา โดยเฉพาะพม่าได้ชื่อว่าเป็นทะเลแห่งเจดีย์งาม และยิ่งใหญ่ ชาวไทยที่มาส่วนมากจึงมีโปรแกรมให้ไปไหว้พระ ณ เจดีย์ต่างๆ
พระเขี้ยวแก้วภายในมณฑปทรงแปดเหลี่ยมสวยงาม
ไหว้พระเขี้ยวแก้ว
สองจุดแรกก่อนอาหารกลางวันเราถูกนำไปไหว้พระเขี้ยวแก้ว และเจดีย์โลกเย็นซึ่งตั้งอยู่ชานเมืองย่างกุ้ง
พระเขี้ยวแก้วเป็นสิ่งศักดิ์สูงสุดอย่างหนึ่งที่ชาวพุทธต่างเคารพบูชา ปัจจุบันมีอยู่ ๓ แห่งในโลกที่มีพระเขี้ยวแก้วประดิษฐานไว้ คือ ที่ศรีลังกา จีน และพม่าแห่งนี้ ซึ่งตามตำนานว่าได้มาจากศรีลังกาสมัยพระเจ้าบุเรงนองเป็นกษัตริย์พม่าได้ทรงไปขอเจ้าหญิงแห่งศรีลังกามาเป็นพระสนมเลยได้อัญเชิญพระเขี้ยวแก้วจากที่นั่น และแห่แหนมาสู่พม่าโดยทางเรือ
พระเขี้ยวแก้วใต้องค์เจดีย์
รถจอดให้เราที่ประตูทางขึ้นสู่เจดีย์สูงเด่นเป็นสง่ามองเห็นแต่ไกลที่ประดิษฐานพระเขี้ยวแก้วเลยทีเดียว ขณะฝนพรำผิวผล็อย เราต้องเดินเท้าเปล่าตามที่หนุ่มติ๊กบอกเราแบบเล่นสำนวนด้วยสุภาษิตไทยว่า “เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม” ซึ่งที่จริงเขาอธิบายว่า เป็นธรรมเนียมปฏิบัติ(ไทยเองก็เคย) ที่ต้องถอดรองเท้าเพื่อให้ใกล้ชิดพระศาสนามากขึ้น และเป็นการเคารพสถานที่เพราะใต้ฐานเจดีย์แต่ละแห่งนั้นมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากมาย บางแห่งจึงห้ามไม่ให้ผู้หญิงเข้าด้วย ก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด ฝนพรำ พื้นเย็นก็เดินกันได้ด้วยใจ ศรัทธาแห่งแรงบุญ
ดอกมหาหงส์ร้อยเป็นมาลัยบูชาพระ
มหาหงส์พวงพู่ห้อยร้อยเป็นสายนำไปไหว้พระ
ดอกไม้ไหว้พระของพม่าเห็นแล้วชื่นชมอดถ่ายรูปมาให้ดูกันไม่ได้ค่ะ ดูสวยแปลกและเป็นธรรมชาติ มีทั้งดอก(จั่น)หมาก มะพร้าว ดอกบัวสายลิดกลีบนอกออกนำมาเสียบไม้ ข้าวตอกเสียบเรียงเป็นเส้นยาว และดอกไม้ ใบไม้ธรรมชาติมัดรวมเป็นช่อใหญ่ และที่เห็นบ่อยส่งกลิ่นหอมฟุ้งไปทั้งบริเวณ คือ ดอกมหาหงส์นำมาร้อยเป็นพวงยาว ซึ่งมหาหงส์พม่ามีทั้งสีขาว เหลืองนวล และเหลืองอมชมพูกลิ่นหอมนุ่มนวลของมหาหงส์ให้ความรู้สึกเอิบอิ่มขณะไหว้พระ
ไกด์ติ๊กว่า 2 ช่อ 500 จั๊ด แต่ซื้อทีไรช่อเดียว 500 จั๊ด
ก่อนลงรถไกด์ติ๊กบอกทุกครั้งว่าซื้อดอกไม้ได้ที่หน้าประตู ๒ ช่อราคาห้าร้อยจั๊ต แต่ทุกที่ก็ขายช่อเดียวห้าร้อยต่อไม่ได้
อ้อ...เราแลกเงินบาทไว้ใช้จ่ายตั้งแต่อยู่บนรถ หนึ่งพันบาท แลกได้ สองหมื่นห้าพันจั๊ต แบ๊งค์ย่อยของพม่านั้นเก่าจนเกรงใจเวลาหยิบจับค่ะ กลัวจะผุเปื่อยคามือ
ดอกไม้ประดิษฐ์....นี่ก็ช่อละ 500 จั๊ดนะจ๊ะ
ไหว้พระเขี้ยวแก้วแล้วไปไหว้เจดีย์โลกเย็น หรือ กะบาร์เอเจดีย์ (Kabar Aye Zedi ) ซึ่งตั้งอยู่บนเนินชื่อ Thiri Mannala Kabar Aye Hill ทำบุญให้คน(ผู้มาขอ) ทำบุญให้พระ(หยอดลงตู้)แล้วกลับขึ้นรถไปทานอาหารกลางที่ภัตตาคารริมน้ำกันก่อนจะเดินทางสู่เมืองสิเรียมช่วงบ่าย
ที่นี่ เริ่มเห็นสถาปัตยกรรมศิลปะพม่า ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวอยู่สูง
สถาปัตยกรรมศิลปะพม่า..วิหารที่เจดีย์โลกเย็น