ด้วยแนวคิดที่แตกต่างและมีพื้นฐานความรู้วิชาการเมืองอย่างลึกซึ้ง จำลอง บุญสอง เพียรพยายามย้ำเตือนสังคมให้เข้าใจ และวิตกอย่างมหันต์เมื่อวันเวลาเปลี่ยนไปอย่างน่าหวาดเสียว ว่ามันใกล้จะถึงเวลาที่กลุ่มเผด็จการกำลังจะเข่นฆ่าประชาชนอีกคำรบหนึ่ง เพื่อยึดครองอำนาจไว้ใต้อุ้งเท้าเช่นที่ผ่านมา จำลองบอกว่า วันหน้า ไม่ไกลนี้ จะเกิดเหตุการณ์ที่เรียกว่า เลือดนองท้องช้าง อันน่าจะหมายถึง จะเกิดการเข่นฆ่ากันครั้งใหญ่ ตายกันเป็นเบือกระนั้นหรือไม่?
ผมได้รับอีเมลล์บทความนี้จากจำลอง ด้วยว่ารักชอบและศรัทธาในแนวความคิดและพื้นฐานความรู้วิชาการเมือง จึงขอนำบทความทรงคุณค่าโพสท์ลงใน ทองไทยแลนด์ เพื่อให้สังคมอีกกลุ่มหนึ่งได้ตระหนัก ขอขอบพระคุณที่กรุณาส่งมาให้พร้อมอนุญาตให้นำลงได้
ด้วยจิตคาระวะ
ธงชัย เปาอินทร์
บก.บริหาร ทองไทยแลนด์
ใกล้เวลาเลือดนองท้องช้าง
โดยจำลอง บุญสอง
พินิจการเมือง นสพ.โพสท์ทูเดย์
หลายสิบปีก่อนเผด็จการเป็นผู้กำเกมเล่นว่าจะให้ใครรัฐประหาร จะให้ใครเป็นรัฐบาล แต่หลังจาก “กินเบ็ดตัวเอง” ด้วยการฆ่าประชาชนบน “ถนนราชประสงค์” แล้ว จึงทำให้ประชาชน “ตาสว่าง” เห็นความเป็นเผด็จการว่า มีหน้าตาอย่างไร ทำให้เผด็จการตกอยู่ใน “วงล้อม” ของประชาชนไปโดยปริยาย
คนที่ไม่รู้วิชาอาจจะมองเห็นว่าระบอบเผด็จการคงอยู่ได้นานและมั่นคงเพราะมีทั้งฐานเมืองและฐานการทหาร แต่คนรู้วิชาการเมืองต่างรู้ดีว่า ยิ่งเผด็จการออกมา “ซื้อใจ” ประชาชน “ถี่” มากขึ้นเท่าใด ก็แสดงว่า “สถานภาพ” ของเผด็จการ “ไม่มั่นคง” มากขึ้นเท่านั้น
ใกล้เวลา “จนตรอก”ของเผด็จการ จะเป็นช่วงเวลาที่ เผด็จการ “โหดร้าย” ต่อประชาชนมาที่สุดเสมอ ไม่ว่าที่ไหนในโลก แต่ยิ่งเผด็จการโหดร้ายมากขึ้นเท่าใดก็จะยิ่ง “เป็นคุณ” ใน “ด้านกลับ” ต่อประชาชนมากขึ้นเท่านั้น เข้าทำนอง “ยิ่งวิกฤติ ยิ่งเป็นโอกาส”
วันนี้ ผมไม่ติดใจว่าเผด็จการไทยกำลังถูกกระทำอย่างไร เพราะก่อนหน้านี้ฝ่ายประชาธิปไตยได้เตือนแล้วว่าจะเกิดเหตุการณ์อย่างนั้น-อย่างนี้ ทั้งยังเสนอทางออกให้อย่างเป็นวิชาการ เพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะร่วมทั้งของผู้ปกครองและประชาชนผู้ถูกปกครอง เพราะเรารู้ดีว่ามีแต่ประชาธิปไตยเท่านั้นที่จะทำให้ประเทศไทยให้เกิดนิพพานทางการเมือง นิพพานทางการเมืองย่อมส่งผลต่อความไพบูลย์ของชาติ นอกจาก “เผด็จการไทย” จะ “ไม่เชื่อ”แล้ว ยังดูดเลือดประชาชนไปพลาง ทำการ PR.ตัวเองไปพลาง โดยคิดว่าการกระทำดังกล่าว จะช่วยให้ “คงอำนาจ”และ “ผลประโยชน์” ให้คงอยู่ “ไปชั่วลูก ชั่วหลาน” โดยเผด็จการไม่รู้เลยว่า “คุณภาพ” ของคนไทยได้เปลี่ยนไปแล้ว
สิ่งที่ผมเป็นห่วงก็คือว่า หลังจากเผด็จการไทยถูกโค่นลง จะเกิด “สุญญากาศ” ทางอำนาจขึ้นจะนำมาซึ่งการฆ่ากันตายอย่างมากมายเพียงใดแบบเดียวกับประเทศอื่นๆทั่วโลก ช่วงนี้เองที่จะมีพวก “ร่วมโค่นเผด็จการ” มาอ้างว่าก็เพราะพวกเขาเท่านั้นที่โค่นเผด็จการลง พวกนี้เองที่จะ “ชิงการนำ” เพื่อสถาปนาตัวเองเป็น “ผู้นำ” ทั้งๆที่ “ไม่เข้าใจในหลักวิชา” จนนำมาซึ่ง “ Counter Revolutionary” ขึ้น
(ที่เขียนประเด็นนี้ขึ้นมาก็ไม่ใช่จะ “เอาปฏิรูป” “ไม่เอาปฏิวัติ” แบบ ดร.เสกสรรค์ ประเสริฐกุล เพราะการพูดของท่านเป็นการพูดภายใต้ร่ม “ปฏิรูปประเทศไทย” ที่อำนวยการตั้งขึ้นโดยเผด็จการ ในสายตาของนักปฏิวัติ สิ่งที่เสกสรรพูดมีความหมายอย่างเดียวคือพูดให้เผด็จการ)
ผมยังนั่งยันนอนยันต่อผู้ปรารถนาดีต่อประชาชนว่า ถ้าอยากจะได้สังคมนิพพานก็ต้อง “ปฏิวัติ” ก่อน ใครอยากได้สังคมนิพพาน โดยไม่ผ่าน “การปฏิวัติ” เป็นคน “รู้ไม่จริง” หรือ “รู้จริง” แต่ “บิดเบือน” เพื่อแสวงหาประโยชน์ ไม่มีอย่างอื่น
ขอว่าเรื่องวิชาการกันเล็กน้อยเพื่อเป็นแนวทางในการสร้างประชาธิปไตย เพราะการสร้างประชาธิปไตยไม่ใช่เพียงแค่การสร้างระบอบขึ้นเท่านั้น แต่ยังต้องสร้างการปกครองแบบประชาธิปไตยและระบบประชาธิปไตยให้เกิดขึ้นอีกด้วย ถ้าไม่ครบวงจรที่ว่าก็ไม่ใช่ประชาธิปไตย
ในระบบเศรษฐกิจทุนนิยมมีองค์ประกอบที่แยกกันไม่ได้อย่างเด็ดขาด 2 ส่วนก็คือพลังการผลิต (กรรมกร) และปัจจัยการผลิต (นายทุน) ถ้าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ทำหน้าที่หรือทำหน้าที่ไม่เกิดความสมดุลก็จะส่งผลต่อเศรษฐกิจทุนนิยมทั้งระบบ
ดังนั้น “การหยุดงานทั่วไป” (General Strike) ของกรรมกรจึงนำมาซึ่งการปรับดุลทั้งทางด้านเศรษฐกิจและการเมืองต่อกันและกันอย่างเป็นไปเอง การต่อสู้ระหว่างกรรมกรกับนายทุนจึงเป็นการ ทำให้ความสมดุลในระบบทุนนิยมให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพทั้งทางด้านการเมืองและเศรษฐกิจ ด้านการเมืองทำให้การเมืองเป็นประชาธิปไตย ด้านเศรษฐกิจทำให้เกิดเศรษฐกิจประชาธิปไตย ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อแก้ไขปัญหาความยากจนและการเฉลี่ยรายได้แห่งชาติอย่างเป็นธรรมนั่นเอง
การหยุดงานทั่วไปจึงเป็นสิทธิประชาธิปไตยของกรรมกรเท่ากับการเลิกจ้างหรือปิดงานงดจ้างของนายทุน
ที่สำคัญคือ “ตราบใดที่กรรมกรยังไม่มีการหยุดงานทั่วไป ก็จะยังไม่มีการสร้างประชาธิปไตย” การหยุดงานทั่วไปนอกจากจะเป็นการสร้างประชาธิปไตยโดยแท้จริงแล้วยังเป็นแนวทางการต่อสู้แนวทางสันติที่แท้จริงอีกด้วย
ไม่ว่าการปฏิวัติประชาธิปไตยในอังกฤษในศตวรรษที่ 17 ในอเมริกาในศตวรรษที่ 18 ในมหาปฏิวัติฝรั่งเศสในศตวรรษที่ 18-19 ในสแกนดิเนเวียหรือที่ไหนๆ ล้วนเกิดจากการต่อสู้ของกรรมกรเท่านั้นและถ้าขบวนกรรมกรไม่ได้เข้าร่วมต่อสู้ การสร้างประชาธิปไตยก็จะล้มเหลวหรือไม่มีประชาธิปไตยเกิดขึ้น
สาเหตุสำคัญของการปฏิวัติในประเทศไทยอย่าง 2475 หรือการเคลื่อนไหวปฏิวัติประชาธิปไตยในทุกๆครั้ง ที่ล้มเหลวก็เพราะปราศจากขบวนกรรมกรเข้าร่วมนั่นเอง
กรรมกรมีบทบาทเป็นทั้งกลุ่มผลประโยชน์ (Interest Group) และกลุ่มผลักดัน (Pressure Group)
กลุ่มผลประโยชน์คือการต่อสู้ทางเศรษฐกิจ มีสถาบันเรียก “ลัทธิสหภาพแรงงาน”(Trade Unionism)
กลุ่มผลักดันคือการต่อสู้ทางการเมือง มีสถาบันที่ไม่ขึ้นต่อกฎหมายแรงงานเรียก “สภากรรมกรแห่งชาติ”
ปล.ศัพท์วิชาการเมือง
Bourgeoisie : ชนชั้นกลาง (Middle-Class) คู่ขัดแย้งกับกรรมาชีพ (Proletariat)
Proletariat : ชนชั้นกรรมาชีพ คู่ขัดแย้งกับนายทุนหรือชนชั้นกลาง
Labour : ผู้ใช้แรงงานโดยทั่วไป เลี้ยงชีพด้วยการใช้แรงงานไม่มีบทบาททั้งเป็นกลุ่มผลประโยชน์และเป็นกลุ่มผลักดัน ดังนั้นจึงไม่มีบทบาททั้งทางเศรษฐกิจและการเมืองในประวัติศาสตร์สมัยใหม่และก็ไม่ใช่คู่ขัดแย้งกับนายทุนอีกด้วย
Wages Labour : กรรมกร หมายถึงแรงงานรับจ้างในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ที่เป็นคู่ขัดแย้งกับนายทุน กรรมกรเป็นพลังของการปฏิวัติทั้งของการปฏิวัติประชาธิปไตย และของการปฏิวัติคอมมิวนิสต์ เป็นพลังอิสระเช่นเดียวกับชนชั้นกลางและชนชั้นสูง ผู้ใช้แรงงานประเภทอื่นเช่นชาวนาชาวไร่และผู้ใช้แรงงานอิสระอื่นๆ ไม่ใช่กรรมกร