มหัศจรรย์กัมพูชา
ตอน4 ตะลึง..เมืองนครธมชมปราสาทบายน อลังการเหลือพรรณนา
โดยอึ้งเข่งสุง-เรื่อง/ธงชัย เปาอินทร์-ภาพ
เสียดายเหลือเกิน เวลาที่ได้ไปท่องเที่ยวที่เมืองนครธม(Ankor Thom) อันเกรียงไกรใหญ่บะเห้งของชาวขะเมร์ หรือกัมพูชา หรือเขมร หรือ CAMBODIA รูปภาพที่ถ่ายออกมาจึงบ่งบอกได้เลย ใกล้เที่ยงเต็มที สีสัน ความคมชัด หายไปเป็นครึ่งๆ ฮึ!! อยากไปแก้ตัวใหม่อีกครั้ง
ทั้งๆที่แสงใกล้เที่ยง เมื่อได้ไปยืนอยู่ที่ปากทางเข้าเมืองนครธมนั้น มันช่างยิ่งใหญ่อลังการ ทุกคนเดินเร็วจี๋เพื่อไปยืนแอ็คท่าให้ถ่ายรูปไว้เป็นที่ระลึก บ้างก็ยืนตรงกลาง บ้างก็ยืนชิดกับเทวดา 54 องค์ทางฝั่งซ้ายมือซึ่งกำลังตั้งท่าดึงพญานาค บ้างก็ยืนด้านขวามือที่อสูร(54 ตน)ดึงพญานาค ลีลาก็แล้วแต่ว่าจะออกมาแค่ไหน ช่วงพญานาคนี้เป็นสะพานข้ามคูเมืองเพื่อเข้าประตูเมืองพระนครนั่นเอง
เทวดาฉุดพญานาค
เมืองนครธมสร้างขึ้นในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พระองค์ทรงครองราชย์ระหว่าง ปี พ.ศ.1724-1762 มีพื้นที่กว้างขวางถึง 9 ตารางกิโลเมตร( 5,625 ไร่) รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าล้อมรอบด้วยกำแพงสูง 7 เมตร มีประตูทางเข้าด้านละ 1 ประตู ยกเว้นประตูทิศตะวันออก มี 2 ประตู ประตูหนึ่งเรียกว่าประตูชัย อีกประตูหนึ่งเรียกว่า ประตูผี มีการขุดคูน้ำกว้าง 80 เมตรรอบกำแพงเมือง ทั้งนี้ก็ด้วยว่าเมื่อปีพ.ศ.1720-1724 ครั้งที่พระเจ้าชัยวรมันที่ 7 ยังไม่ได้ขึ้นครองราชย์สมบัติ ได้ยกทัพออกปราบปรามพวกจามจนราบคาบ ดังนั้นเมื่อทรงขึ้นครองราชย์จึงได้ทรงสร้างเมืองนครธมขึ้นพร้อมกับสร้างกำแพงเมืองให้แข็งแรง ยิ่งยงตราบเท่าทุกวันนี้
ประตูทางเข้านครธม
ผมเดินผ่านประตูปรางค์พระอวโลกิเตศวร 4 หน้า เข้าไปแล้วมีรถยนต์มารอรับไปส่งให้ถึงจุดท่องเที่ยวสำคัญ ดังนั้นเมื่อรถยนต์วิ่งผ่านปราสาทต่างๆ จึงได้แต่ชะเง้อชมและกดกล้องถ่ายรูป ได้รูปกำแพงที่สลักรูปช้างบ้าง หญาครุฑบ้าง จุดส่งให้ลงอยู่ใกล้ปราสาทบายนครับ เพียงรถวิ่งเข้าเขตสายตาก็ตกตะลึงพรึงเพริดแล้วครับ ปราสาทอะไรใหญ่ขนาดนั้น ทันทีที่รถยนต์จอดสนิท ก็กรูกันลงไปด้วยความอยากเห็น
"ไม่มาละก้อ เสียชาติเกิดจริงๆ" เสียงหนึ่งเปรยขึ้น
"ไม่เสียดายเลย 7,900 บาท คุ้มยิ่งกว่าคุ้ม" อีกคนหนึ่งเสริม แล้วต่างก็พรูกันไปยืนให้เพื่อนถ่ายรูปไว้ในไฟล์ท่องเที่ยวกัมพูชา
กำแพงนครธม ร้านขายของที่ระลึก
ผมเดินจ้ำเร็วกว่าคนอื่นๆ ด้วยว่าผมอยากได้รูปภาพไปใช้ในงาน ทองไทยแลนดอทคอม www.thongthailand.com ให้ได้มากที่สุด แต่อย่างไรก็ตามเถอะ ด้วยเวลาใกล้เที่ยง ด้วยวัยเลยบ่ายคล้อยไปแล้ว เร่งความเร็วเพียงใดก็ได้เท่าที่ได้ ไม่ได้อย่างใจอยากได้ คิดในใจ มีโอกาสเมื่อไรจะกลับไปแก้ตัวอีกสักที กัดฟันเล็กๆ เน้นเสียงค่อยๆ "ฝากไว้ก่อนนครธม"
ปราสาทบายนอันยิ่งใหญ่
ปราสาทเบื้องที่ผมเห็น เป็นภูเขาหินใหญ่โตมโหฬาร ก่อสร้างเป็นสามชั้น แต่ละชั้นสลัก หินทรายเป็นรูปลักษณ์ศิลปะบายนทั้งสิ้น ว่ากันว่า ปราสาทบายนเป็นศาสนสถานในพุทธศาสนานิกายมหายาน ประจำรัชกาลพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 พระองค์ได้ทรงสร้างขึ้นเพื่อบูชา เป็นการเปลี่ยนแปลงความเคารพศรัทธาครั้งใหญ่ เพราะว่าตลอดระยะเวลาอันยาวนานกว่า 415 ปี พระมหากษัตริย์ราชวงศ์กัมพูชาบูชาศาสนาพราห์ม
นักท่องเที่ยวทะยอยกันมาทีละกลุ่มๆ
พระองค์ทรงสร้างปรางค์หนึ่งๆให้มีใบหน้าของพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ 4 ทิศ ริมฝีปากยิ้มนิดๆ สายตามองต่ำมายังประชาชนด้วยเมตตา ปรางค์ที่สร้างมีทั้งหมด 54 ปรางค์ เท่ากับ 54 เมืองของประเทศกัมพูชาในยุคนั้น ผมเดินไปรอบแล้วก็คิดในใจว่า 54 ปรางค์ๆละ 4 ใบหน้า รวมทั้งหมดก็ตก 216 ใบหน้าทีเดียว นี่เฉพาะที่ปราสาทบายนแห่งเดียว ถ้ารวมถึงแต่ละปรางค์ของแต่ละประตู ซึ่งก็สลักด้วยรูปอวโลกิเตศวรเช่นกัน อีก 5 ประตู รวมเป็น 20 ใบหน้า ดังนั้นรวมใบหน้าเปื้อนยิ้มขนาดยักษ์เหล่านี้จึงมีมากถึง 236 ใบหน้า โอ้โฮ.เฮะ
ผมเกือบจะลืมเล่าเสียแล้วว่า ปรางค์องค์สำคัญคือปรางค์องค์กลางสูงสุด องค์นี้มีฐานกว้างถึง 25 เมตร ยอดสูง 43 เมตร พระพักตร์ของพระอวโลกิเตศวรเปื้อนยิ้มลึกลับน่าฉงนยิ่งนักเชียว พระองค์ทรงคิดถึงอะไรหรือ? หากมองไปทั่วทุกใบหน้าเปื้อนยิ้มที่สลักเสลาได้ไอย่างน่ามหัศจรรย์ พินิจพิจารณาแต่ละใบหน้าช่างประพิมประพายคล้ายๆกันอย่างกับหล่อมาจากพิมพ์เดียว แต่ก็มีบางใบหน้าที่ออกแววดุๆ ไม่มีรอยยิ้มน้อยๆมุมปากเอาจริงๆ
ปราสาทบายนสร้างด้วยหินทรายก้อนโตๆ เรียงซ้อนกันเป็นชั้นๆ มีระเบียงให้เดินชมได้อย่างน่าทึ่ง ฝรั่งมังค่าชาติต่างๆมาเที่ยวกันตรึม แหม่มน่ารักคนหนึ่งนั่งวาดรูปบันทึกความทรงจำแทนการถ่ายรูป ซึ่งผิดกับนักท่องเที่ยวไทยนิยมถ่ายรูปครับ วันนั้นมีนักท่องเที่ยวชาวไทยมากกว่าชาติใดๆ มากมายจนเดินไปได้ยินแต่เสียงเรียกกันเจี๊ยวจ๊าว ให้ไปถ่ายรูปกันบ้าง ให้ไปดูภาพแปลกๆบ้าง บางคนไปทำมิดีมิร้ายกับนางอัปสรา บางนางอกงามๆก็พลอยสึกกร่อนไปไม่น้อย บางส่วนหลุดหายไปก็มี
พูดถึงนางอัปราแล้วก็ช่างน่าทึ่ง แต่ละปราสาทรูปลักษณ์ทรวดทรงองค์เอวแตกต่าง ที่ไม่ต่างคือสะโพกเจ้าช่างผายจนเย้ายวนใจเหลือ โดยเฉพาะดอกบัวตูมช่างเต่งตึง ไม่ห้อยโตงเตงอย่างกับของคนที่บ้านสักนิด
ผมเดินถ่ายรูปแต่ละชั้นจนพอใจ ก็ไต่บันไดลงไปชั้นล่าง วนเวียนถ่ายรูปสลักนูนต่ำที่กำแพงที่ละด้านๆ เพลินจริงๆ ที่ได้ภาพเล่าเรื่องมากมาย มีสารพัดวิถีชีวิต ซึ่งเรื่องภาพสลักนูนต่ำนี้จะได้เล่าไว้เฉพาะอีกตอนหนึ่งข้างหน้าครับ สำหรับวันนี้ ได้ใบหน้าพระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์อันยิ่งใหญ่ แต่เห็นรอยยิ้มแล้วท่าจะใจดี บ้างก็เดาว่า น่าจะเป็นรูปใบหน้าของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 นั่นแหละ ชนชั้นสูงชาวกัมพูชาเชื่อกันตามศาสนาพุทธนิกายมหายานว่า เมื่อสวรรคตแล้วจักได้เกิดเป็นพระอวตาร
ใบหน้าเปื้อนยิ้มของอวโลกิเตศวร
ในช่วงสมัยการครองราชย์ของพระเจ้าชัยวรมันที่ 7 เป็นช่วงที่ประเทศกัมพูชาเข้มแข็งมาก เจริญรุ่งเรื่องด้วยความปรีชาสามารถของพระองค์ มีศิลาจารึกถึงพระองค์ว่า "ทุกข์ของประชนคือทุกข์ของพระองค์" ดังนั้นพระองค์จึงทรงสร้างอโรคยาศาลาไปทั่วแผ่นดินที่พระองค์ทรงครอบครองถึง 121 แห่ง ได้พบว่าอยู่ในเส้นทางพนมรุ้ง-พิมาย-เขาพระวิหาร 17 แห่ง แต่ก็ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างอาณาจักรด้วยการสร้างวัตถุ ประเภทปราสาทต่างๆมากมายจนในที่สุดก็เกิดความเดือดร้อนไปทั่วแผ่นดิน อีกเพียงไม่กี่สมัยต่อมา อาณาจักรกัมพูชาก็ถึงกาลอวสาน
ขอบคุณ สมอทไทยแลนด์ โทร.083-2983182/
/02-4112062 หรือเปิดดูที่www.smotthailand.com
อมตะ..นิรันดร์กาล
ชำรุด บูชากราบไหว้