http://www.thongthailand.com
  สร้างเว็บไซต์Engine by iGetWeb.com 
 หน้าแรก  เว็บบอร์ด  บทความ  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  ข่าวสาร
ค้นหา  ประเภทการค้นหา   Cart รายการสั่งซื้อ (0) 
สถิติ
เปิดเว็บไซต์ 15/03/2009
ปรับปรุง 07/08/2024
สถิติผู้เข้าชม14,331,430
Page Views16,660,868
« October 2024»
SMTWTFS
  12345
6789101112
13141516171819
20212223242526
2728293031  
ท่องเที่ยวทั่วไทยไปทั่วโลก
ศิลปะ วัฒนธรรม ประเพณี วิถีชีวิต และความเชื่อ
รีวิว ร้านอาหาร โรงแรม รีสอร์ทและสปา
  foo&bed
ธรรมชาติ,สัตว์ป่าและพันธุ์พืช...มีคุณ(nature)
บทบรรณาธิการ สกู๊ฟพิเศษ และเรื่องเล่า
ข่าวสาร
http://www.thongthailand.com/index.php?mo=3&art=42365202
 

สิบสองปันนาหงส์ฟ้าพญามังกรตอน7.วัดหลวงไทลื้อเมือง โดยอึ้เข่งสุง-เรื่อง//ธงชัย เปาอินทร์-ภาพ

สิบสองปันนาหงส์ฟ้าพญามังกรตอน7.วัดหลวงไทลื้อเมือง โดยอึ้เข่งสุง-เรื่อง//ธงชัย เปาอินทร์-ภาพ

 สิบสองปันนาหงส์ฟ้าพญามังกร

ตอน7. วัดหลวงไทลื้อเมือง

พุทธสถานอลังการเชิงพาณิชย์

โดยอึ้งเข่งสุง-เรื่อง//ธงชัย เปาอินทร์-ภาพ

               วัดหลวงไทลื้อเมือง ตั้งอยู่บนพื้นที่ภูเขาสูงเนื้อที่ 1,000 ไร่ อันเป็นจุดสูงสุดของเขตพัฒนาหมู่บ้านชาวเมืองสิบสองปันนา(เมืองใหม่) โดยความเห็นชอบของเขตการปกครองตนเองชนเผ่าไทลื้อสิบสองปันนา(Xishuangbanna) เพื่อให้เป็นพุทธสถานที่ยิ่งใหญ่ที่สุด สามารถรองรับพระได้กว่า 1,000 รูป เข้ามาจำพรรษาและศึกษาพระธรรมวินัยตามแบบอย่างลัทธิหินยานฝ่ายเถรวาท 

                                                        ประตูทางเข้าชั้นที่หนึ่ง

               พื้นที่กว่า 1,000 ไร่นี้แบ่งออกเป็นสามส่วนคือ ส่วนพุทธาวาส พระสงฆ์องคเจ้าจำพรรษาจะหลบอยู่ในเขตป่าไม้อย่างสงบงาม  ส่วนที่สองเป็นอาคารเรียนของวิทยาลัยสงฆ์ที่สั่งสอนพระธรรมวินัยให้กับพระและสามเณรจำนวนนับพันๆองค์ และส่วนที่สามเป็นพื้นที่เพื่อสร้างพุทธสถานต่างๆของวัดตามรูปแบบวัดหินยานในพุทธศาสนา 

               พื้นที่ส่วนหลังสุดนี้แหละครับที่สร้างเสียยิ่งใหญ่อลังการเหลือจะพรรณนา แบ่งพื้นที่จากตีนเขาเตี้ยสุดขึ้นไปเป็นชั้นๆ ถึง 3 ชั้น แต่ละชั้นมีสิ่งก่อสร้างและรูปลักษณ์ตามคติพุทธหลากหลายรูปแบบ รวมทั้งระบบการจัดการเพื่อการท่องเที่ยวในพุทธสถานแห่งนี้ด้วย อันเป็นจุดขายหนึ่งจากเรื่องของธรรมะ ศรัทธา และความเชื่อ     

                 

ศิลปะไทลื้องดงาม   

                จากโรงแรมในตัวเมืองสิบสองปันนา คณะของเราตัดสินใจเดินทางด้วยรถเมล์ประจำทาง เมืองเก่า-เมืองใหม่ กรุณาเตรียมเงินให้พอดี 4 หยวน เมื่อขึ้นรถเมล์แล้วต้องเอาเงินครบจำนวนหยอดใส่กล่องเงิน พนักงานขับรถจะมองดู เพราะว่าถ้าเงินขาดไปจะเป็นความผิดของเขาที่ต้องชดใช้ แต่พอผมขึ้นไปปุ๊บ เด็กหญิงคนหนึ่งลุกจากที่นั่งของเธอมาสะกิดให้ผมนั่งแทน โธ่นังหนูเอ๋ย ลุงยังไม่แก่เลย แต่ด้วยความหวังดีมีน้ำใจ ก็เลยหย่อนก้นนั่งตามกำลังศรัทธาของเธอ 

               "ขอบคุณๆ(เซียะๆ)" น้ำใจอย่างนี้เมืองไทยไม่มีแล้ว เล่นเอาผมน้ำตาคลอเลย

     

                         พระรามัญ                                   โบสถ์แบบไทยพุทธ

              ชั่วเวลา 25 นาทีรถเมล์ก็จอดหน้าวัด คณะของเราเดินตามก้นไกด์สาวจีนไทลื้อต้อยๆ เธอไปประสานจัดการเสียค่าเข้าชม เข้าตามแบบนักท่องเที่ยวที่มากับทัวร์ค่าเข้าถูกกว่าเข้าแบบวอล์คอิน ส่วนจะเสียเท่าไรไม่ได้สนใจจะถามเพราะอย่างไรเสียผมก็นิยมไปไหนไปกับบริษัททัวร์มากกว่าไปแบบแบกเป้ครับ 

                         

     ศาลาขายสินค้าที่ระลึกหน้าลานจอดรถ

               หน้าวัดมีลานจอดรถทัวร์กว้างขวางมาก มีศาลาสองหลังขายสินค้าของที่ระลึกและเครื่องดื่ม ตัวศาลาสร้างตามรูปลักษณฺศิลปะไทลื้อ ซึ่งมองดูเผินๆเหมือนทรงไทยประยุกติ์   เขตเก็บบัตรเข้าชมสร้างคล้ายประตูใหญ่อลังการมาก ด้านข้างๆเป็นที่ติดต่อเข้าชมและจ่ายค่าบัตร เมื่อก้าวพ้นพนักงานผ่านประตู มีรถยนต์ลากจูงเหมือนสวนสาธรณะทั่วไปที่มีพื้นที่กว้างๆจอดรออยู่

               "พื้นที่วัดกว้างมาก สูงชันมาก ถ้าเดินจากชั้นหนึ่งไปชั้นสองและชั้นสาม จะเหนื่อยมากและใช้เวลามาก ควรนั่งรถขึ้นไปชั้นสามแล้วค่อยๆเดินลงมาชั้นสองและลงมาชั้นแรกจะดีกว่า"

               ไกด์สาวเล่าแจ้ง พวกเราก็ว่าง่ายจะได้ไม่เหนื่อย ขึ้นรถลากจูงทันใด

              รถแล่นขึ้เขาคดไปโค้งมาใต้ร่มเงาแมกไม้ ผ่านส่วนสังฆาวาส แล้วเลยวิทยาลัยสงฆ์ พอจอดกึกที่หน้าชั้นที่สาม ก็ร้องโอ้โฮ

พระพุทธรูปปางขอฝนองค์สูงที่สุดในโลก

              เบื้องหน้าที่เห็นเป็นพระพุทธรูปปางขอฝนประทับยืนตระหง่านอยู่บนขุนเขา เหนือวิหารหลังใหญ่ พระพุทธรูปองค์นี้สูงถึง 49.90 เมตร เป็นพระปางขอฝนที่สูงและใหญ่ที่สุดในโลก เสียดายที่ช่วงเวลาที่เราไปนั้นเป็นเวลาบ่ายคล้อย ตะวันได้เบี่ยงเบนไปทางทิศตะวันตกหลังองค์พระเสียแล้ว ผมจึงได้ภาพเป็นเงาดำทะมึนทึน เที่ยววัดนี้ต้องมาช่วงเช้าๆเพราะว่าองค์พระหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ภาพจะมีสีสันสวยงามมากกว่า

                   ร้านเครื่องดื่มนั่งสบายๆ               

              สองฝั่งลานจอดรถชั้นสามมีร้านขายดอกไม้ธูปเทียนหลังหนึ่ง อีกหลังหนึ่งขายเครื่องดื่ม มีโต๊ะเก้าอี้ให้นั่งวพักเหนื่อยได้  ด้านหน้าเป็นกระท่อมหลังหนึ่ง ภายในมีชุดไทลื้อให้นักท่องเที่ยวเช่าสวมใส่เพื่อถ่ายรูปด้วย ในกลุ่มพวกเราไม่มีใครไปทดลองสวมใส่เลย ทุกคนจึงเดินเข้าไปในวิหารหลังใหญ่ แหงนมองทวารบาลเขี้ยวโง้ง สีสันสวยแปลกตากว่ายักษ์ทวารบาลวัดบ้านเรา

     

                            พระพุทธรูปปางสมาธิเพชรทรงเครื่อง                       

            ภายในวิหารมีพระพุทธรูปงดงามมาก มีถึง 3 องค์ ประดิษฐานไว้เป็นจุดๆ  ผนังวิหารเจาะเป็นช่องบรรจุพระปางขอฝนไว้ทุกช่อง ทาด้วยสีแดงสดใสตัดกับองค์พระสีเหลืองอร่าม  องค์แรกประดิษฐานไว้ในส่วนที่มีสีสันสวยงามแปลกแตกต่างจากประเทศไทย เป็นพระทรงเครื่องปางสมาธิเพชร สีขาวผ่องอร่ามเรืองด้วยเครื่องทรงสีทอง                           

                  พระพุทธรูปทรงเครื่อง                                ทวารบาลสวยดี

              องค์ต่อมาเป็นพระพุทธรูปทรงเครื่องปางมารวิชัย และองค์ที่สามพระพุทธรูปปางมารวิชัยแต่ไม่ทรงเครื่อง เป็นรูปเคารพที่ตั้งใจสร้างด้วยความปราณีตบรรจง  มีพนักงานของวัดนั่งอยู่เคาเตอร์จำหน่ายเครื่องบูชาเช่นเดียวกับวัดบ้านเราที่เมืองไทย วัตถุมงคล ไม่รู้ว่าใครเลียนแบบใคร เพราะว่าไปที่นี่เพียงแห่งเดียว จึงไม่รู้ว่า วัดอื่นๆในสิบสองปันนามีวัตถุมงคลหรือไม่ 

              ด้านหน้าลานชั้นสามมีบันไดลงไปทีละขั้น สองข้างไม่ใช่นาคราชตวัดหาง แต่เป็นสามเณรปางอุ้มบาตรยืนตามขั้นบันได  แปลกตาไปอีกแบบหนึ่ง ระหว่างกลางทางสองข้างจะมีวิหารของแต่ละพุทธศาสนา เช่นสยามวงศ์  ลังกาวงศ์  รามัญวงศ์ และคันธารราฎ ถ้าต้องกราบไหว้ทีละวิหารๆ ก็ใช้เวลามาก ผมตัดสินใจให้ช่างภาพเดินถ่ายรูปมาจนครบ

      

             ลงมาถึงลานชั้นที่สอง เห็นวิหารหลวงหลังใหญ่ สลักลายตามเสาและผนังสีเหลืองทองอร่าม ลมเย็นพัดตึง ในวิหารโปร่งโล่งเหมือนเป็นศาลาการเปรียญ มีพระประธานปางมารวิชัยองค์โต ศิลปะสลักเสลาและเขียนต่างๆเป็นแบบอย่างของไทลื้อ ซึ่งคงรักษาเอกลักษณ์ เป็นความภูมิใจของชนเผ่า น่าปลื้มใจที่เห็นชาวไทลื้อนิยมอนุรักษ์ศิลปะวัฒนธรรมประเพณี(การแต่งตัวฯลฯ)และวิถีชีวิตเอาไว้ได้อย่างมั่นคง

             ต้องยอมรับว่า วัดหลวงไทลื้อเมืองยิ่งใหญ่อลังการ สมเจตนารมณ์ และวัดนี้จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวสำคัญของสิบสองปันนาตลอดไป ไม่ไปไม่ได้เสียแล้ว 

             วัดนี้ เขตปกครองตนเองสิบสองปันนาได้ตัดสินใจให้สร้างด้วยการออกอนุญาตเป็นแบบสัมปทาน 50 ปี ให้ภาคเอกชนลงทุนสร้างด้วยเม็ดเงินถึง 350 ล้านหยวน แล้วเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากการท่องเที่ยว 50 ปี บริษัทที่ได้รับสัมปทานคือ บริษัทพัฒนาการท่องเที่ยวหยวนห้าวจำกัด  ส่วนพระเณรจำพรรษาได้ฟรี มีกิจกรรมตามวิถีพุทธศาสนาทางหินยานได้ทุกกระบวนการ  ได้มีการชุมนุมพระคัมภีร์อักษรธรรมใบลานเป็นครั้งแรกที่วัดนี้ และได้มีการชำระจนครบถ้วนที่สุด นอกจากนี้ยังได้มีการพิมพ์เป็นอักษรไทลื้อเก่า อักษรไทลื้อใหม่ ภาษาจีนกลาง และภาษาอังกฤษ

ลวดลายที่จารและปั้นปูนไว้ไทลื้อชัดๆ

             เขตปกครองตนเองสิบสองปันนา ถือว่าเป็นดินแดนแห่งบวรพุทธศาสนาโดยแท้ ทั้งนี้ดูได้จากว่าทั้งเขตมีหมู่บ้านทั้งหมด  600 หมู่บ้าน แต่มีวัดมากถึง 577 วัด เจดีย์อีก 215 องค์ ทุกวันพระชาวไทลื้อนิยมไปบำเพ็ญเพียรทางธรรมที่วัดแล้วก็จะนอนอยู่ที่วัดคล้ายๆวัดในประเทศไทยสมัยก่อนตอนที่ผมยังเด็กๆ ก็ได้เคยตามแม่ไปนอนถือศีลอยู่ด้วยเช่นกัน

  

           พระพุทธรูปแบบคันธารราฎ                                  ทวารบาลเชิงบันได

            ส่วนข้อกังขาที่ว่า ลัทธิหินยานแตกต่างจากลัทธิมหายานอย่างไร และแต่ละลัทธิมีประเทศใดบ้างที่เจริญก้าวหน้านั้น ต้องขอตอบว่า

            ความหมายของลัทธิหินยานฝ่ายเถรวาท พระสงฆ์ประพฤติด้วยการระงับดับกิเลสตนเองให้เป็นเยี่ยงอย่างแล้วจึงชักจูงคนทั้งหลายให้ประพฤติตาม ถือกันว่าเป็นแนวทางที่คับแคบ แต่ลัทธิหินยานกลับได้รับความนิยมในแถบพม่า ไทย ลังกา ลาว เขมร

                          

พระประธานในวิหารหลวง

           ส่วนความหมายของลัทธิมหายาน พระสงฆ์มุ่งเกลี้ยกล่อมชักจูงคนให้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเสียก่อน แล้วจึงสั่งสอนให้ระงับดับกิเลสต่อไปในภายหลัง  ลัทธิมหายานรุ่งเรื่องในประเทศเอเซียกลาง ทิเบต มองโกเลีย จีน ญี่ปุ่นและญวน

            แต่ทั้งลัทธิหินยานและลัทธิมหายาน ใช้พระธรรมวินัยตามพระไตรปิฏกฉบับเดียวกันทุก

ประการ

  

วิหารหลวงชั้นที่หนึ่ง     

              

              ปล. คัดลอกมาจากคมชัดลึก 21-04-2011 ไตรเทพ ไกรงู ในส่วนเฉพาะตำนานพระพุทธรูปปางขอฝน ความว่า            

              สมัยหนึ่งนครสาวัตถี แคว้นโกศล เกิดความแห้งแล้ง ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล พืชผลได้รับความเสียหาย ประชาชนขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภค สระโบกขรณี (สระบัว) ภายในพระเชตวันมหาวิหารก็แห้งขอดติดก้นสระ พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระประสงค์จะอนุเคราะห์แก่มหาชน พระพุทธองค์ทรงผ้าวัสสิกสาฎก (ผ้าอาบน้ำฝน) แล้วเสด็จไปประทับ ณ บันไดสระ ยกพระหัตถ์ขวาขึ้นกวักเรียกฝน พระหัตถ์ซ้ายรองรับน้ำฝน ทันใดนั้นบังเกิดมหาเมฆตั้งเค้าขึ้นพร้อมกันในทุกทิศานุทิศ ด้วยพุทธานุภาพและพระมหากรุณาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ฝนได้ตกลงมาเป็นอัศจรรย์

    

 

            

 

             

 

 

 

Tags : สิบสองปันนา Xishuangbanna 

 
 หน้าแรก  บทความ  ข่าวสาร  รวมรูปภาพ  ติดต่อเรา  เว็บบอร์ด

อัตราค่าโฆษณา    

แบบเนอร์ กลางหน้า.  ขนาด 800 x 400-600 พิกเซล เห็นหน้าแรก  5,000 บาท/เดือน

แบนเนอร์ เหนือโลโก้เว็บไซต์ ขนาด 1000 x 80 พิกเซล เห็นทุกหน้า 4,000 บาท/เดือน

 แบนเนอร์ ซ้าย  ขนาด 240 x 120-160 พิกเซล เห็นทุกหน้า 3,000 บาท/เดือน

ทำข่าวแถลง รีวิวโรงแรมและร้านอาหาร  เขียนสารคดี เชิญได้โดยตรงที่ โทร.081-9416364

ติดต่อ 135 ม.12 ต.กำแพงแสน อ.กำแพงแสน จ.นครปฐม 73140

 
view